พท.ทำ จม.เปิดผนึกถึงเลขาฯ UN แจงต้นตอการเมืองขัดแย้ง-วอนหนุนเลือกตั้งไทย

ข่าวการเมือง Monday March 24, 2014 14:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนพดล ปัทมะ กรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย(พท.) เปิดเผยว่า สมาชิกพรรค พท.ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายบัน คี มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ(UN) เพื่อชี้แจงถึงต้นเหตุของความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน โดยระบุว่า

"พวกข้าพเจ้าส่งหนังสือนี้ เพื่อเรียนให้ท่านทราบถึงความขัดแย้งทางการเมือง และความพยายามที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศ ต้นเหตุความขัดแย้งเกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่า เจตจำนงของประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมไม่ได้รับการยอมรับโดย “ฝ่ายอนุรักษ์และขบวนการต่อต้านประชาธิปไตยในสังคมไทย" หลายกลุ่มได้สมคบคิดกันเพื่อที่จะล้มรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ที่ได้รับเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตย และเพื่อที่จะแช่แข็งการเลือกตั้งครั้งต่อไป

รัฐบาลที่นำโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ถูกบังคับให้ยุบสภาฯ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2556 หลังจากแกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักได้ลาออกพร้อมกันหลายคน เพื่อไปดำเนินการตั้งกลุ่มต่อต้านรัฐบาลนอกสภาฯ ในชื่อของ กปปส. หลังจากที่สภาผู้แทนฯ ถูกยุบแล้ว วันเลือกตั้งทั่วไปได้กำหนดขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 พรรคการเมือง 53 พรรครวมทั้งพรรคเพื่อไทย ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้คว่ำบาตรการเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2 ภายใต้การนำของเขา

ครั้งแรกที่นายอภิสิทธิ์นำพรรคคว่ำบาตรการเลือกตั้ง คือในปี 2549 ซึ่งในเวลาต่อมาการเลือกตั้งก็ถูกตัดสินเป็นโมฆะ กปปส.ซึ่งนำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องให้ 1) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ เพื่อจะให้มีคนกลางได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และ 2) เรียกร้องให้มีการตั้งสภาประชาชน โดยสมาชิกของสภาประชาชนจะแต่งตั้งอย่างไม่เป็นประชาธิปไตยโดยนายสุเทพ เพื่อที่จะดำเนินการปฏิรูปในหลายด้านเป็นระยะเวลา 1-2 ปี ก่อนที่การเลือกตั้งครั้งต่อไป

กปปส.ได้รณรงค์ว่าการปฏิรูปต้องเกิดขึ้นสมบูรณ์ก่อนจึงจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งจริงๆ แล้ว ข้อเรียกร้องของพวกเขาไม่เป็นประชาธิปไตย และการปฏิรูปเป็นเพียงข้ออ้างที่ซ่อนรูปของพวกเขาที่จะได้อำนาจโดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง พวกเขาประสงค์จะแช่แข็งประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาทั้งสิ้น

กปปส.อ้างว่าผู้ประท้วงได้ยึดแนวอารยะขัดขืนที่ไม่ใช้ความรุนแรง แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ข้อเท็จจริงคือผู้ประท้วงคัดค้านรัฐบาลได้ใช้อาวุธสงคราม เช่น ปืน M16 ระหว่างการชุมนุม และได้ก่อความรุนแรง เช่น บุกรุกและปิดล้อมอาคารของภาครัฐ ข่มขู่ข้าราชการ ปิดถนนสาธารณะ และข่มขู่สื่อมวลชนให้นำเสนอข่าวตามที่พวกเขาต้องการ ที่รุนแรงที่สุดคือ กปปส.ได้ปิดล้อมและขัดขวางไม่ให้ผู้สมัครใน 28 เขตในภาคใต้ยื่นใบสมัครลงรับเลือกตั้ง นอกจากนั้น ในวันที่ 26 มกราคม 2557 ที่เป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้า ผู้สนับสนุน กปปส.ได้พยายามขัดขวางการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้า โดยได้กระทำความผิดทางอาญาต่างๆ หลายประการ เช่น ปิดประตูทางเข้าหน่วยเลือกตั้งโดยใช้โซ่ ห้ามไม่ให้ผู้มีสิทธิเข้าคูหาเลือกตั้ง และข่มขู่ที่จะใช้กำลังและทำร้ายร่างกาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขัดขวางไม่ให้ผู้มีสิทธิไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดอาญา ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งได้ดำเนินการเสร็จสิ้นสมบูรณ์ไปถึงร้อยละ 88 ของเขตเลือกตั้งทั้งหมด และประชาชนกว่า 20 ล้านคนได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่ในวันที่ 21มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินโดยมติ 6 ต่อ 3 ว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะ 28 เขตเลือกตั้งยังไม่มีผู้สมัคร และการที่จะจัดการเลือกตั้งในเขตดังกล่าวนั้นจะทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นวันเดียวกันทั้งประเทศ คำตัดสินนี้เป็นที่ชัดเจนว่าขัดรัฐธรรมนูญ เพราะศาลไม่สามารถที่จะรับคำร้องที่ยื่นโดยผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามมาตรา 245(1) ของรัฐธรรมนูญ

ยิ่งกว่านั้นเหตุผลที่ว่าเหตุใดการจัดการเลือกตั้งหรือการลงคะแนนเสียงไม่สามารถจัดใน 28 เขตเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ก็เป็นเพราะการกระทำความผิดทางอาญาและการใช้ความรุนแรงขัดขวางการรับสมัครของกลุ่ม กปปส. คำตัดสินนี้ได้สร้างบรรทัดฐานที่เสียหายว่า คน 20 ล้านคน ได้เสียสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเองจากกระทำความผิดทางอาญาของคนเพียงไม่กี่ร้อยคน ซึ่งชัดเจนว่า เป็นผู้ที่สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทย อาชญากรได้ประโยชน์จากการกระทำความผิดทางอาญาของตนเอง การทำให้การเลือกตั้งสิ้นผลลงถือว่าขัดรัฐธรรมนูญและไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนไทยส่วนใหญ่จำนวนมาก

นี่เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเพราะยังมีความพยายามอย่างไม่ลดละของบุคคลและองค์กรหลายกลุ่ม ที่สมคบคิดทำงานสอดประสานเพื่อที่จะกำจัดฝ่ายพวกเราและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ตั้งแต่ปี 2548 โดยในปี 2549 ฝ่ายตรงข้ามได้ใช้การรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และได้จัดให้มีรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในปี 2550 ในปี 2550 พรรคไทยรักไทยถูกยุบ ในปี 2551 นายสมัคร สุนทรเวช ถูกตัดสินให้พ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรี เพียงเพราะเขาไปทำรายการทำกับข้าวทางทีวี ในปี 2551 พรรคพลังประชาชนถูกยุบ เมื่อเร็วๆ นี้ ความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ได้ถูกขัดขวาง การออกเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจะให้มีวุฒิสมาชิกมาจากการเลือกตั้ง ก็ได้ถูกตัดสินโดยศาลรัฐธรรมนูญว่าขัดรัฐธรรมนูญ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ที่ลงคะแนนเห็นชอบการแก้ไขดังกล่าวก็จะถูกถอดถอน ทั้งๆ ที่มีบทบัญญัติอย่างชัดแจ้งในรัฐธรรมนูญว่า การออกเสียงในรัฐสภาถือว่าได้รับเอกสิทธิอย่างเด็ดขาด

นอกจากนั้น องค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ เช่น ปปช.ได้สอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาแก่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ภายใน 21 วัน ในขณะที่การสอบสวนคดีที่มีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีความคืบหน้าหลังจาก 5 ปีผ่านไป นี่เป็นเพียงในตัวอย่างหนึ่งในหลายๆ ตัวอย่างของ 2 มาตรฐานและความอยุติธรรมของที่ฝ่ายพวกเราต้องเผชิญ เป็นที่ชัดเจนว่าวงจรอุบาทว์ที่เกิดขึ้นในปี 2549 กำลังเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งหนึ่ง มีคนถามว่า “การรัฐประหารโดยตุลาการภิวัตน์" กำลังจะกลับมาใหม่ใช่หรือไม่ ไม่เคยมีครั้งใดที่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ถูกบังคับใช้อย่างมิชอบด้วยกฎหมาย และไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะในคดีความต่อฝ่ายพวกเรา

โดยหนังสือฉบับนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายที่เป็นสมาชิกของพรรคเพื่อไทย ประสงค์ที่จะเรียนให้ท่านได้ทราบถึงพัฒนาการทางการเมืองที่น่าตกใจในประเทศไทย และให้ทราบถึงการละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชนโดยอภิสิทธิ์ชน และผู้ต่อต้านรัฐบาลที่เป็นอภิสิทธิ์ชน โปรดรับทราบว่า ฝ่ายอนุรักษ์และผู้สมคบคิดที่ต่อต้านระบอบประชาธิปไตยได้ทำลายประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมแล้วในประเทศไทย คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหลายกรณี และขององค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญมิชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่ยุติธรรม

เราเรียกร้องให้ท่านได้โปรดติดตามสถานการณ์ในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อจะป้องกันและประณามการสมคบคิดอย่างไม่เป็นประชาธิปไตย และโปรดสนับสนุนการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมในประเทศไทย เพื่อให้กระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทยได้ดำเนินต่อไปอย่างมั่นคง และคนไทย 65 ล้านคน สามารถตัดสินอนาคตของตนเอง เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ และสังคมโลกที่เข้มแข็งต่อไป"


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ