อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงยืนยันว่าไม่ต้องการสืบทอดอำนาจ และไม่ต้องการให้มีกลไกที่อยู่เหนือการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่จะต้องมีกลไกที่จะเดินหน้าแผนปฏิรูป ซึ่งจะเป็นอย่างไรก็เป็นหน้าที่ของสภาขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศ (สปท.) พิจารณา และต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งต้องมีกลไกเรื่องของการปรองดอง เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยเร็ว และป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งที่ไม่สามารถหาทางออกได้กลับมาอีก
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า จะไม่มีการสร้างอำนาจใหม่ให้เกิดขึ้น และไม่อยากให้ทุกคนนำไปเชื่อมโยงโดยไม่มีข้อเท็จริง เพราะจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย อีกทั้งยังไม่ตรงกับเจตนารมย์ที่ได้เข้ามาแก้ปัญหา รวมถึงอย่านำเรื่องของการทุจริต กระบวนการยุติธรรม และการเลือกปฏิบัติมาเชื่อมโยงกัน เพราะตนเองพยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้
"ไม่ใช่ผมอยากเข้ามา อยากมาสร้างอำนาจใหม่ ผมไม่อยากให้ทุกคนไปเขียนนิยายแบบนี้ประเทศชาติมันเสียหายและไม่ตรงกับเจตนารมย์ของผมสักอย่างหนึ่ง ที่ผมเข้ามาวันนี้ ผมบอกแล้วผมเข้าทำในฐานเก่า และเป็นคนที่ต้องรักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้เมื่อมันถึงคราวจำเป็น เพราะมันไปไหนไม่ได้ ถ้ามันไปได้ผมจะมายุ่งทำไมก็รู้ว่าปัญหาเยอะแยะไปหมด"พลเอกประยุทธ์ กล่าวทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า คดีทางการเมืองทุกเรื่องเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ขณะที่ตนเองเพียงนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งหากนำทุกเรื่องมายึดโยงกันจะทำให้ประเทศเสียภาพลักษณ์ในสายตาต่างประเทศจากการรับรู้ข้อมูลที่บิดเบือน โดยวานนี้ได้มีโอกาสคุยกับผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ก็มีการระบุว่าขณะนี้มีผู้บิดเบือนข้อมูล จึงสั่งการให้งานด้านต่างประเทศให้ข้อมูลกับคณะทูตทุกประเทศช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำงานตาม 5 ภารกิจหลักของรัฐบาลด้วย
นอกจากนั้น แนวทางจากนี้จะขอให้ทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศ (สปท.) และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานภาพรวม ทั้งในเรื่องการออกกฎหมาย การเดินหน้าปฏิรูปและการร่างรัฐธรรมนูญไปพร้อมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน และไม่ให้เกิดปัญหากับขั้นตอนการทำประชามติในอนาคต