นายกฯ ลงพื้นที่จ.นครสวรรค์-ชัยนาทตรวจเยี่ยมโครงการแก้ปัญหาภัยแล้งตามมาตรการรัฐบาลศุกร์นี้

ข่าวการเมือง Wednesday January 20, 2016 15:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 ม.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พร้อมคณะ ประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลป์ยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์, พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินการโครงการเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์และชัยนาท

โดยช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีและคณะจะตรวจเยี่ยมข้อมูลศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ต.บึงปลาทู อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ เพื่อติดตามมาตรการแก้ปัญหาภัยแล้ง พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการมาตรช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงภัยแล้ง 8 มาตรการ ได้แก่ 1.มาตรการส่งเสริมความรู้และการสนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน 2.มาตรการชะลอหรือขยายระยะเวลาชำระหนี้ที่เกษตรกรมีภาระหนี้กับสถาบันการเงิน 3.มาตรการจ้างงานเพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร 4.มาตรการเสนอโครงการตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาผลกระทบภัยแล้ง 5.มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ 6.มาตรการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน 7.มาตรการเสริมสร้างสุขภาพและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และ 8.มาตรการสนับสนุนอื่นๆ

พร้อมกันนี้จะติดตามมาตรการการปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าวนาปรังมาปลูกพืชน้ำน้อย และได้ปรับเปลี่ยนจากศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนบ้านห้วยโรง กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านห้วยโรง มาเป็นศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรด้านการลดต้นทุนการผลิตและการผลิตเมล็ดพันธุข้าวให้ทางราชการ เพื่อส่งเสริมให้ชาวนามีการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีไว้ใช้อย่างเพียงพอ ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีจะมอบกุญแจรถตักข้าวเปลือกให้ตัวแทนสหกรณ์การเกษตรบึงพิมพา จำกัด ตามโครงการจัดหาเครื่องจักรกลตามมาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรจังหวัดนครสวรรค์

จากนั้นเวลาประมาณ 10.30 น ณ ห้องประชุมประพันธ์ศิริ ชั้น 2 อาคารสำนักบริหารจรูญ-หทัย มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่วนกลางและคณะกรรมการ กรอ.กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 (นครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี) เพื่อประชุมหารือถึงการบริหารจัดการภัยแล้งในพื้นที่กลุ่มจังหวัด และรับทราบความคืบหน้าการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาล เช่น กองทุนหมู่บ้าน และมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล(ตำบลละ 5 ล้านบาท)

โดยพื้นที่ตำบลบึงปลาทูได้รับงบประมาณโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล(ตำบลละ 5 ล้านบาท) จำนวน 27 โครงการ ซึ่งประชาชนได้ร่วมกันนำมาพัฒนาเป็นโครงการประเภทการซ่อมแซมบูรณะอาคารศาลาเอนกประสงค์ เส้นทางคมนาคม พัฒนาแหล่งน้ำ และการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามโครงการ

สำหรับ ต.บึงปลาทู ได้ดำเนินงานมาตรการลดต้นทุนการผลิตและการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันสินค้าเกษตรด้วยระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่(แปลงต้นแบบ) ปี 2559 โดยมีพื้นที่ จำนวน 1,767 ไร่ เกษตรกรเข้าร่วมโครงการ จำนวน 57 ราย เพื่อเป็นแปลงต้นแบบตามแนวทางการลดต้นทุนการผลิตและการเพิ่มโอกาสในการแข่นขันสินค้าเกษตร ด้วยระบบการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่

จากนั้นในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีและคณะมีกำหนดการเดินทางไปยังโครงการฟื้นฟูสระเก็บน้ำบ้านหนองดู่( 400 ไร่ ) อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท ซึ่งเป็นโครงการแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่แบบบูรณาการ โดยประชาชนในพื้นที่ได้ร่วมบริจาคที่ดินเพื่อสร้างสระเก็บน้ำดังกล่าว ซึ่งมีปริมาณกักเก็บน้ำทั้งสิ้น 800,000 ลบ.ม. ทั้งนี้ บ้านหนองดู่ประสบปัญหาอุทกภัยและปัญหาภัยแล้งอยู่เป็นประจำ สภาพปัจจุบันเป็นทุ่งนากว้าง ดินลูกรัง จำเป็นต้องมีการอนุรักษ์ฟื้นฟูโดยการขุดลอกและกำจัดวัชพืช เพื่อให้สามารถกักเก็บน้ำได้มากขึ้นสำหรับใช้ในหน้าแล้ง และเพื่อการระบายน้ำที่ดีในฤดูน้ำหลาก ซึ่งทางจังหวัดชัยนาทได้ดำเนินโครงการดังกล่าวขึ้น โดยพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินการ จำนวน 8,312.5 ไร่ และมีครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์จำนวน 900 ครัวเรือน ทั้งนี้เกษตรกรในจังหวัดชัยนาทส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาปรัง พื้นที่ปลูก จำนวน 566,000 ไร่เศษ จากพื้นที่การเกษตรทั้งหมด จำนวน 1,283,124 ไร่ คิดเป็น 44.11% จากการทำการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง โดยใช้น้ำจากชลประทานและใช้น้ำจากบ่อบาดาลในบางส่วนที่น้ำไม่สามารถส่งมาถึงหรือช่วงที่งดการการส่งน้ำ ซึ่งจากการสำรวจแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรของเกษตรกรจังหวัดชัยนาทเป็นแหล่งการเกษตรของตนเองมีบ่อดาลจำนวน 7,035 บ่อ บ่อน้ำตื้น 1,097 บ่อ ส่งผลให้เกษตรกรจังหวัดชัยนาทสามารถทำนาได้อย่างต่อเนื่อง 2-3 ครั้ง/ปี

อย่างไรก็ตาม ในปี 2558 ต่อเนื่องมาถึงปี 2559 ได้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงและปริมาณน้ำฝนที่มีน้อยกว่าปกติ จึงเกิดภาวะภัยแล้งทำให้เกษตรกรในพื้นที่ชลประทานส่วนใหญ่ไม่สามารถทำนาปรังได้ แต่ยังมีเกษตรกรที่มีพื้นที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยาประมาณ 112,752 ไร่ เกษตรกรเหล่านี้จะอาศัยน้ำจากชลประทานในช่วงแรกและใช้น้ำจากบ่อดาลต่อจนถึงช่วงเก็บเกี่ยว ซึ่งจากการเข้าสำรวจพบว่าบ่อบาดาลระดับน้ำตื้นที่เกษตรกรในจังหวัดชัยนาทใช้สูบน้ำเพื่อทำการเกษตรจะสามารถสูบน้ำได้ถึงช่วงเดือนเมษายน เกษตรกรได้รับทราบถึงสถานการณ์ภัยแล้งดี และได้ดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาล ได้มีการลดพื้นที่การทำนาปรังลงอย่างมาก โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดชัยนาทได้ส่งเสริมการให้ความรู้และการสนับสนุนปัจจัยการผลิต ซึ่งมีเกษตรเข้าร่วมโครงการสร้างรายได้จากพืชทดแทนนาปรัง จำนวน 12,315 ราย โดยพืชที่ใช้น้ำน้อยเพื่อปลูกทดแทนการปลูกข้าวนาปรัง อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเขียว ฯลฯ ซึ่งผลจากการที่เกษตรกรในพื้นที่หันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทนการปลูกข้าวนาปรังพบว่าใช้น้ำน้อยกว่าการปลูกข้าว เช่น พื้นที่ทำนา 1 ไร่ ใช้น้ำ 1,038 ลบ.ม. ขณะที่พื้นที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1 ไร่ ใช้น้ำ 583 ลบ.ม. เป็นต้น

สำหรับการดำเนินการทั้งสองโครงการใน 2 จังหวัดดังกล่าวสอดคล้องกับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี 2558/59 ของรัฐบาล โดยเฉพาะพื้นที่การเกษตรในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา 22 จังหวัด(จังหวัดกรุงเทพฯ กำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา ชัยนาท ตาก นครนายก นครปฐม นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี พิจิตร พิษณุโลกพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี อ่างทอง อุตรดิตถ์) และพื้นที่ภัยแล้งทั่วไป 55 จังหวัด ที่ต้องการให้เกิดการบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูแล้งให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งให้มีรายได้จากกิจกรรมอื่นทดแทน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ