พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" โดยระบุว่า ทุกรัฐบาลพยายามหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ไม่เว้นแม้แต่รัฐบาลชุดนี้ก็เช่นกันที่พยายามคิดหาแนวทางแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง แต่ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีส่วนงานที่ทับซ้อนกัน ประกอบกับเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน ดังนั้นการแก้ปัญหาจำเป็นต้องบูรณาการงานร่วมกัน และมีแผนยุทธศาสตร์ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
"ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ นั้น จริงๆ แล้วรัฐบาลนี้คิดมาอย่างต่อเนื่อง พยายามแก้ไป แต่แก้ทั้งระบบทำได้ยาก เพราะว่าหลายอย่างทับซ้อนกันอยู่ มันเป็นปัญหาเรื้อรัง ไม่ได้เกิดวันนี้ ไม่ได้เกิดมาจากปริมาณรถ หรือเส้นทางที่มีอยู่ปัจจุบันไม่สมดุลเท่านั้น เราต้องมองปัญหาทั้งระบบ และแก้ปัญหาอย่างมียุทธศาสตร์ ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว่" นายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมระบุว่า รัฐบาลได้คิดโครงการต่างๆ ออกมาเพื่อต้องการลดปัญหาการจราจร เช่น 1.การเชื่อมโยงกรุงเทพฯ-ชานเมือง และหัวเมืองใหญ่ โดยต้องการจะกระจายความเจริญ ความแออัดออกนอกเขตเมืองกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ ซึ่งได้มีการเร่งรัดโครงการก่อสร้างทั้งทางด่วน ทางพิเศษ วงแหวน และรถไฟความเร็วสูง การจัดระเบียบรถตู้โดยสารประจำทาง เป็นต้น 2. การเชื่อมโยงระบบขนส่งมวลชนภายในกรุงเทพและปริมณฑล นอกจากบัตรร่วมแล้วจะต้องเชื่อมโยงทั้งเส้นทางและสถานี ระหว่างเรือโดยสาร-รถไฟฟ้า-รถประจำทาง-เรือด่วนด้วย
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงปัญหาการไม่เชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีม่วงกับสายสีน้ำเงินนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งแก้ไขอยู่ ซึ่งเมื่อรถไฟฟ้าทุกสายมีการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ก็จะเกิดเครือข่ายเส้นทางคมนาคมที่ครอบคลุมได้ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล จูงใจให้ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวและหันมาใช้บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะกันให้มากขึ้น
ทั้งนี้ ยอมรับว่าระบบขนส่งมวลชนบางประเภทอาจมีปัญหาราคาสูง ดังนั้นจึงได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ครม.ให้พิจารณาหาโครงการรถไฟฟ้า "โครงสร้างเบา" เช่น รถราง (Tram) เหมือนในต่างประเทศที่ใช้กันอยู่ เพื่อจะได้มีราคาถูกและลงทุนน้อยลง
"รัฐบาลนี้ต้องทำทุกอย่างเพื่อจะเชื่อมโยงทุกระบบให้ได้ ในระยะเวลาที่เราอยู่นี้แบบไร้รอยต่อ แต่ก็ต้องทำกันต่อไปในวันหน้าด้วย มันทำไม่เสร็จหรอกต้องแก้ของเก่าที่เป็นปัญหาเร่งด่วนก่อน วางระบบใหม่ให้ครบวงจร และก็รีบดำเนินการให้ได้ เพื่อพวกเราทุกคนและลูกหลานในอนาคต" นายกรัฐมนตรี กล่าว