พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวต่อต้าน คสช.และเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งว่า ความเคลื่อนไหวต่างๆ อาจจะด้วยเหตุผลและความจำเป็นที่แตกต่างกันไป ซึ่งตนเองก็รับฟังทุกภาคส่วน และต้องทำความเข้าใจกันว่าผลดี-ผลเสียจะเกิดขึ้นกับใครบ้าง แต่ยอมรับว่าส่วนหนึ่งก็ไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล แต่ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย ซึ่งกรณีแบบนี้ต้องไปดูว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร
ส่วนกรณีที่มีบางฝ่ายโดยเฉพาะผู้ที่เสียประโยชน์อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนั้น ต้องไปดูว่าใครคือคนกลุ่มนี้ เพราะเป็นตัวตั้งตัวตีเคลื่อนไหว ทั้งที่ตนเองไม่เคยขัดแย้งกับใคร ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่เคยคิดสืบทอดอำนาจ และทุกอย่างเดินหน้าไปตามโรดแมพ ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงการทำงานหนึ่งปีสุดท้าย ก็จะเร่งผลักดันโครงการไทยนิยมยั่งยืนที่หมายถึงการนิยมความดีงามในทุกเรื่อง มุ่งหน้าทำความดีเพื่อประเทศชาติ และเป็นการวางรากฐานให้กับลูกหลานในอนาคต ซึ่งยืนยันว่าหากไม่มีปัญหาในเรื่องของกระบวนการทางกฎหมาย โรดแมพของรัฐบาลก็จะเป็นไปตามเดิม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลและ คสช.ทำงานอย่างเต็มที่ จึงขอให้ทุกฝ่ายเห็นใจ และอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ และขออย่านำทุกประเด็นมาเชื่อมโยงกันจนกระทบกับการทำงานของรัฐบาล พร้อมขอเวลาในการวางรากฐานประเทศในระยะหนึ่งก่อน ซึ่งเวลาของรัฐบาลจะมากหรือน้อยก็เป็นไปตามกฎหมาย
ส่วนกรณีบางฝ่ายเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีทำตามสัญญาที่จะคืนความสุขให้กับประชาชนในเวลาอีกไม่นานตามบทเพลงที่นายกรัฐมนตรีเคยแต่งไว้ตั้งแต่ปี 2557 นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ทำตามสัญญาแล้ว โดยการคืนความสุขให้กับเรื่องที่สามารถทำได้ทันที แต่บางความสุขยังไม่สามารถทำได้ จึงต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาต่อไป และเป็นเรื่องของรัฐบาลหน้าในการสานงานต่อ เพราะบางเรื่องมีปัญหาที่สะสมมานาน ทุกคนจึงต้องช่วยกันแก้ ยืนยันว่าตนเองไม่ได้แก้ตัว แต่ขอให้เข้าใจในสิ่งที่รัฐบาลได้ทำไปแล้ว เช่น การทำให้บ้านเมืองมีความสงบสุข ถือเป็นการคืนความสุขอย่างหนึ่ง ดังนั้นการหยิบบางช่วงของเพลงมาวิจารณ์จึงไม่ถูกต้อง เพราะหากฟังทั้งบทเพลงก็จะมีความหมายที่สมบูรณ์อยู่แล้ว โดยเฉพาะช่วงสุดท้ายที่อยากหยิบมากล่าวถึง คือ แผ่นดินจะดีในไม่ช้า ความสุขจะคืนมา ประเทศไทย
สำหรับคำเตือนของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษที่ให้ระวัง "กองหนุน" ของรัฐบาลจะลดลงนั้น นายกรัฐมนตรี มองว่า เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะการทำหน้าที่รัฐบาล เมื่อเข้าสู่ปีที่ 3-4 ก็มีปัญหาแบบนี้ทุกรัฐบาล พอถึงเวลาก็จะมีจุดอ่อนในการทำงานมากขึ้น เพราะยิ่งทำงานมาก ปัญหาก็จะมากขึ้น ซึ่งต้องเข้าไปดูเหตุผลว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร ซึ่งคนที่อยู่ตรงกลางไม่สนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่บางครั้งเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คนเหล่านี้อยากให้ทุกอย่างราบรื่น และไปในทางที่ดีที่สุดก็อาจจะมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับรัฐบาล ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกรัฐบาลก็เป็นแบบนี้ แต่ยืนยันว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
ส่วนกรณีผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ลาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างว่าไม่ได้รับเสรีภาพในการทำงานนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองไม่รู้จักใครเป็นการส่วนตัว และไม่ได้สั่งการอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
พร้อมระบุว่า ตนเองไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือสั่งการใดๆ แต่ต้องดูจุดมุ่งหมายและเจตนาของการทำโพลนั้นๆ ว่าทำขึ้นมาเพื่ออะไร ซึ่งตนเองไม่ก้าวล่วงเรื่องการตั้งคำถามใดๆ และการแสดงความเห็นผ่านโพลอาจไม่ใช่ความเห็นของคนทั้งประเทศ เพราะการตอบคำถามมาจากผลการสำรวจของคนไม่กี่พันคนเท่านั้น และคนที่ตอบคำถามอาจไม่ใช่คนในกลุ่มเป้าหมาย หรือเป็นคนละกลุ่มอาชีพ แต่ทุกคนก็ถือว่ามีเจตนาดี