นายกฯ พอใจผลงาน 4 ปีฟื้นฟูเกียรติภูมิประเทศพ้นภาวะรัฐล้มเหลวได้ตามเป้า

ข่าวการเมือง Saturday June 23, 2018 13:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ ว่า ห้วงเวลา 4 ปีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บริหารราชการแผ่นดินมาสามารถนำความสุขคืนสู่ปวงชนชาวไทยได้ตามที่มุ่งหวังและตั้งใจไว้ โดยในช่วงแรกที่ คสช.เข้ามาอาจไม่เป็นที่ยอมรับจากนานาอารยะประเทศ ถึง 100% แต่ในวันนี้รัฐบาล และ คสช.ได้พยายามพิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงใจอันบริสุทธิ์ ผลงานที่ผ่านมาแม้ไม่ได้สำเร็จทั้งหมด เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของการทำงานที่จะต้องมีอุปสรรค แต่ต้องได้รับการยอมรับทั้งจากประชาชน จากประชาคมโลกในที่สุด

"ทองเนื้อเก้าที่รัฐบาลและ คสช.เพียรติดหลังองค์พระ บัดนี้ได้ล้นมาข้างหน้า จนประชาคมโลกได้ประจักษ์ ที่ผ่านมาผมได้รับเชิญให้ไปเยือนญี่ปุ่น จีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา และอินเดีย อย่างเป็นทางการ ด้วยความเชื่อมั่น ไว้ใจ และจริงใจต่อกัน และวันนี้หลังจากที่สหภาพยุโรปมีมติข้อผ่อนปรนให้แก่ประเทศไทยของเรา ได้เปิดโอกาสให้เราสามารถเดินหน้าสานต่อความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้ ก่อนที่ผมจะเล่าให้ฟังว่าบ้านเมืองของเรา และพวกเราทุกคนจะได้รับประโยชน์จากการเยือนครั้งนี้อย่างเป็นทางการอย่างไรบ้าง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอทบทวนเส้นทางสู่ความสำเร็จร่วมกันของรัฐบาลและ คสช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกระดับ คงยังจำกันได้ว่า ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาสังคมไทยมีความแตกแยก รัฐบาลไร้เสถียรภาพ ย่อมส่งผลต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศในการที่จะกำหนดจุดยืนของประเทศไทยในเวทีโลก และที่สำคัญคือ ประเทศไทยไม่มียุทธศาสตร์ชาติระยะยาวที่จะคิดคำนึงถึงการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศพันธมิตร ไปจนถึงประเทศหมู่เกาะ หรือประเทศที่อยู่ห่างไกล โดยเฉพาะมิติการค้าและการลงทุนที่จะช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงตลาดจากผลผลิตของเรา ที่จะทำให้พี่น้องเกษตรกร รวมทั้งผู้ประกอบการ SMEs ของเรา ขายสินค้าได้ดีขึ้นได้มากขึ้น ในทางกลับกันเรากลับปล่อยให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกับประเทศรอบบ้านเป็นระยะ ๆ ปัญหาที่ไม่สามารถทำตามมาตรฐานสากลได้นั้นส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราสูญเสียโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของประเทศได้อย่างเต็มที่ เมื่อรัฐบาลและ คสช. เข้ามาได้วางแผนงานเพื่อจะปฏิรูปและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งการวางรากฐานที่แข็งแรงสำหรับการพัฒนาของประเทศ และสามารถดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง สร้างความโดดเด่นในเวทีระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมผลประโยชน์ของคนไทยในทุกมิติปัจจุบัน

"ผมอยากจะกล่าวว่า ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านของเราอยู่ในระดับดีเยี่ยมที่สุดในรอบหลายปี ชายแดนสงบสุขมีการเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มขึ้น ทั้งกับเมียนมาและกัมพูชา เปิดโอกาสให้ประชาชนไปมาหาสู่กันมากขึ้น การค้าขายตามแนวชายแดนขยายตัวมากขึ้น โดยในปี 2560 นั้นมูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีมูลค่ารวม 1,000 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปี 2559 ไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้นกว่า 2 แสนล้านบาท" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

แม้บริบทการต่างประเทศจะมีการแข่งขันกันสูงมากในปัจจุบัน แต่เราก็สามารถดำเนินนโยบายต่างประเทศได้อย่างสมดุล โดยมีปฏิสัมพันธ์กับนานาประเทศทั่วโลก สะท้อนให้เห็นว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานั้นรัฐบาลได้ฟื้นฟูเกียรติภูมิของประเทศ ให้รอดพ้นจากสภาวะรัฐล้มเหลว เป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกเพิ่มมาโดยลำดับ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความเชื่อมั่นเหล่านั้ ส่วนหนึ่งได้มาจากการแก้ไขปัญหามาตรฐานสากลที่คั่งค้างสะสม ไม่ได้รับการแก้ไข หรือทำไม่ได้ตามที่เราได้ไปสัญญากับประชาคมโลกไว้ โดยประเด็นมาตรฐานการบินพลเรือน (ICAO) ได้ถูกแก้ไข สนับสนุนโอกาสการเติบโตธุรกิจการบินของไทย ขณะที่ประเด็นการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และการควบคุม (IUU) รวมถึงประเด็นการค้ามนุษย์ รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างจริงจัง รวมทั้งการแก้ไขปัญหาสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย เรามีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวทั้งระบบ ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน และคนที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ การประกาศนโยบายไม่ยอมรับการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ (Zero Tolerance) ตลอดจนส่งเสริมการแก้ไขปัญหาร่วมกันกับภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ นอกจากนี้รัฐบาลได้ริเริ่มและเป็นเจ้าภาพการประชุมว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดียจำนวน 2 ครั้ง เพื่อตอบสนองอย่างทันท่วงทีต่อสถานการณ์การโยกย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ การดำเนินงานเหล่านี้เป็นผลให้สหรัฐอเมริกา ได้เลื่อนสถานะของไทยในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) ประจำปี ค.ศ. 2016 จาก Tier 3 ขึ้นเป็น Tier 2 Watch List ซึ่งคงสถานะเดิมในปี ค.ศ.2017 ก็นับว่าดีขึ้น ยิ่งกว่านั้นยังได้รับโอกาสดี ๆ และได้ใช้โอกาสเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาทิ ในปี 2559 ได้รับเกียรติให้เป็นประธานกลุ่ม G77 ที่มีสมาชิก 134 ประเทศ ในโอกาสดังกล่าวนั้น นานาชาติได้ให้การยอมรับในการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นแนวทางหนึ่งเพื่อการบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ที่เรียกว่า (SDGS) นับเป็นการเทิดพระเกียรติ แด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราอีกด้วย

นอกจากนี้เราได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคที่สำคัญ ๆ ในปี 2559 เช่น การประชุม ASEAN-EU Ministerial Meeting และการประชุม ACD Summit ครั้งที่ 2 ซึ่งล้วนแต่เป็นเวทีที่ไทยประสบความสำเร็จในการผลักดันประเด็นความร่วมมือเพื่อการพัฒนาของภูมิภาคที่สำคัญ และระหว่างวันที่ 15-16 มิถุนายนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ครั้งที่ 8 และการประชุม ACMECS CEO Forum ครั้งที่ 1 ณ กรุงเทพมหานคร ภายใต้หัวข้อ "การก้าวสู่ประชาคมแม่โขงที่เชื่อมโยงกัน" โดยมีผู้นำจากประเทศสมาชิก CLMVT ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย รวมทั้งเลขาธิการอาเซียนเข้าร่วมด้วย และมีภาคประชาชน เอกชน ธุรกิจ เข้าร่วมด้วยในเวทีดังกล่าว เป็นการจัดเวทีคู่ขนานไปด้วย รับฟังจาก CEO ต่าง ๆ โดยความร่วมมือ ACMECS นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างประชาคมของเรา ให้เป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน การค้าชายแดน และการข้ามพรมแดนของประชาชนอย่างไร้รอยต่อ ภายใต้แผนแม่บท 5 ปี (2562-2566) เพื่อจะทำให้ประเทศสมาชิก ACMECS นั้นเชื่อมโยงกันทางเศรษฐกิจ และเป็นสะพานเชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิกได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเราจะต้องยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้ได้มาตรฐาน และทำให้กฎระเบียบสอดคล้องกันเสมือนเป็นเขตเศรษฐกิจเดียวกัน ที่เราเรียกว่า ความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ ทั้งนี้เพื่อจะอำนวยความสะดวก ลดเวลาและต้นทุนในการเดินทางและการขนส่งสินค้าข้ามแดน ทั้งหมดนี้จะทำให้ ACMECS สามารถพัฒนาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มของโลก สร้างการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนในภูมิภาคมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผู้ประกอบการและเกษตรกรเป็นคนยุคใหม่ที่สามารถจะใช้เทคโนโลยี สร้างสรรค์นวัตกรรมในการพัฒนาการผลิต และสามารถแข่งขันในตลาดโดลกได้ดีขึ้น รวมทั้งร่วมกันบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาคให้ดีขึ้น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคและเศรษฐกิจโลกอย่างมีประสิทธิผล การประชุมในครั้งนี้ได้มีการรับรองปฏิญญากรุงเทพฯ ที่สมาชิกจะร่วมกันส่งเสริมความเชื่อมโยงและการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามวัตถุประสงค์ข้างต้น และที่เป็นมิติใหม่ของความร่วมมือนี้ คือการจัดตั้งกองทุน ACMECS ที่ประเทศไทยเป็นผู้เสนอ เพื่อให้เป็นกลไกการระดมทุนในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนแม่บทนี้ รวมทั้งยังมีการเชิญประเทศที่มีศักยภาพในการเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา และองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก ACMECS เข้าร่วมด้วย ในพิธีเปิด นายกรัฐมนตรีจีน ญี่ปุ่น รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ประธานธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ก็ได้มีสารแสดงความยินดี ต่อข้อริเริ่มของไทย แล้วสนใจเข้าเป็นหุ้นส่วนเพื่อร่วมในการพัฒนา ACMECS นี้ด้วย นอกจากนี้ เราได้เชิญผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกชน เข้าร่วมให้ความคิดเห็น เพราะเราตระหนักดีถึงบทบาทของภาคเอกชน ในการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และช่วยกันสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนของไทย และประชากรในอนุภูมิภาค รวมทั้งจะช่วยเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านต่อไป

"การต่างประเทศตามที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ผ่านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฝรั่งเศส ให้มาลงทุนในสาขา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย S Curve และ New S Curve ในพื้นที่ EEC และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 1 แห่งในอนาคต ตลอดจนการพัฒนาระบบ e-Commerce และการผลักดันให้ฮ่องกงซึ่งเป็นกลไกสำคัญของจีน ภายใต้นโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง พิจารณาเปิดสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย (HKETO) เพื่อเป็นช่องทางประสานงานทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ทั้งนี้ การต่างประเทศยังมีบทบาทในการแสวงหาแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศ เพื่อจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทย ควบคู่กับการชี้ช่องทางเศรษฐกิจแก่ภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ผ่านการให้ข้อมูลเชิงลึกของตลาดที่มีศักยภาพและการจับคู่ธุรกิจในโอกาสต่าง ๆ อีกด้วย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศอย่างเต็มกำลัง รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ เพื่อจะวางรากฐานด้านการต่างประเทศให้มีความเข้มแข็งสามารถช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า โดยในอนาคตอันใกล้ประเทศไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด APEC ในปี 2565 โดยทั้ง 2 เวทีจะเป็นโอกาสให้ไทยได้สามารถผลักดันความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทยและภูมิภาคในภาพรวม เพื่อให้ทุกฝ่ายเติบโตไปพร้อมกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง

"ขอฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกฝ่าย รวมทั้งข้าราชการและทุกภาคส่วน เราทุกคนล้วนมีบทบาท หน้าที่และความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางใดทางหนึ่ง การปิดทองหลังพระ หรือการทำหน้าที่ปกติก็ตาม อาทิ ทีมฟุตบอลคนตาบอดทีมชาติไทย หรือทีมวอลเลย์บอลหญิงของไทย ที่แม้จะไปไม่ถึงแชมป์ แต่ก็ไปได้ไกลกว่าที่เคย ซึ่งเราก็เห็นว่าพัฒนาขึ้นทุกวัน แล้วเราก็จะเป็นกำลังใจให้กันตลอดไป...ผมอยากบอกว่า เราไม่สามารถทำให้ถูกใจใครทั้งหมด แต่เราสามารถทำให้ดีที่สุดได้ ตราบใดที่เรามีความเชื่อและศรัทธาว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้น ถูกแล้ว ควรแล้ว เพื่อประเทศชาติและประชาชนของเรา" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ