พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้พิจารณาภาพรวมแผนการรักษาความสงบเรียบร้อยเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคงทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการมีส่วนร่วมจากทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการดำเนินงานระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด หรือ CCTV ที่ต้องมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนตามแนวทางประชารัฐ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการป้องปรามเหตุที่จะกระทบความมั่นคง รวมถึงนำไปปรับใช้ในด้านการจราจรด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ซึ่งเป็นแผนแม่บทการรักษาความปลอดภัยทางทะเล ทั้งเรื่องพื้นที่ของการท่องเที่ยว, การค้ามนุษย์, การลักลอบผ่านแดนตลอดเขตแดนทางทะเลทั้ง 200 ไมล์ทะเล ที่ต้องบูรณาการประสานสอดคล้องตามตัวบทกฎหมาย เพื่อให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขและนำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง
ส่วนการดำเนินงานด้านการข่าวของฝ่ายความมั่นคงนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การจะได้รับข่าวที่ชัดเจนเต็มร้อยคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้ได้ปรับบทบาทและโครงสร้างของ สมช.ให้เชื่อมโยงกับภาคประชาชนและภาคเอกชนมากขึ้น เพื่อให้เกิดการแจ้งเตือนและป้องปรามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี ที่ประชุม สมช.วันนี้ไม่ได้มีการหารือเรื่องการเตรียมความพร้อมที่จะคลายล็อคหรือปลดล็อคทางการเมืองในเดือนก.ย.นี้ แต่หน้าที่ของรัฐบาลคือการสร้างความสงบเรียบร้อยให้ประเทศเพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพราะขณะนี้มีทั้งฝ่ายที่อยากให้เกิดความสงบและฝ่ายที่ไม่อยากให้เกิดความสงบ ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่กำลังติดตามอยู่ทุกกลุ่ม และขออย่าทำให้เกิดความวุ่นวาย
รวมถึงต้องติดตามโซเชียลมีเดีย เพราะไม่อยากให้เป็นการขยายความขัดแย้งและโซเชียลมีเดียควรเป็นการสร้างความเข้าใจมากกว่าที่จะทำให้เกิดการแบ่งฝ่าย โดยเฉพาะการไปสู่ประชาธิปไตยในวันข้างหน้า ที่ต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนว่าถึงแม้จะไม่ชอบก็ต้องยอมรับกติกาการเลือกตั้ง รวมถึงเคารพเสียงส่วนใหญ่ที่เลือกรัฐบาลชุดใหม่เข้ามา ซึ่งไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ต้องพร้อมทำเพื่อประชาชน เช่นเดียวกับที่ตนลงพื้นที่ต่างจังหวัดในทุกพื้นที่ ก็เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนอย่างตรงจุดมากที่สุด ให้เกิดการบูรณาการและเหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางการเตรียมความพร้อมเรื่องการเลือกตั้งที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องสอดคล้องกับแนวทางรัฐบาลและ คสช.ในเรื่องการปลดล็อคและปฏิบัติตามกฏหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งยึดตามกรอบเวลาของโรดแมพที่กำหนดไว้ และขณะนี้ตามที่มีการคาดการณ์นั้นเวลาอาจล่วงเลยไปจากกรอบเดิม แต่หากเป็นไปได้ก็ต้องการให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นในเดือน ก.พ.62
ส่วนการทำไพรมารี่โหวตนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องดำเนินการให้ได้ เพราะกำหนดไว้ในกฏหมายแล้ว ซึ่งในปีแรกอาจจะมีปัญหาบ้าง แต่ก็ต้องแก้ไขเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ในระดับหนึ่งและเพื่อไม่ให้ขัดต่อกฏหมาย แต่ในอนาคตจะต้องทำให้ได้ 100%
"หากวันนี้ไปแก้ไขกฏหมายหรือคำสั่งใดที่กระทบต่อโรดแมปการเลือกตั้ง ก็อาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์กลับมาได้ ดังนั้น ยืนยันว่าทุกอย่างเดินหน้าตามโรดแมปที่วางไว้"นายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมย้ำว่า การเลือกตั้งในเดือน ก.พ.62 มีความเหมาะสมที่สุดแล้ว และหากมีประเด็นใดที่ต้องแก้ปัญหาก็สามารถใช้อำนาจของหัวหน้า คสช.แก้ไขได้ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างไม่เป็นอุปสรรคและให้เกิดการเลือกตั้ง โดยกรอบเวลาต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริงด้วย ขณะเดียวกันยืนยันว่าไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร