แกนนำฝ่ายค้าน จวกนโยบายรัฐบาลเลื่อนลอยขาดวิสัยทัศน์เชื่อปฏิบัติไม่ได้,"วันนอร์"แฉ"บิ๊กตู่"เตรียมการปฏิวัติ 3 ปี

ข่าวการเมือง Thursday July 25, 2019 16:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวอภิปรายนโยบายของคณะรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะสามารถนำนโยบายที่นำเสนอในวันนี้แก้ไขปัญหาต่างๆให้กับประเทศได้ และเชื่อว่า ประชาชนก็ไม่เชื่อมั่นรัฐบาลชุดนี้ เพราะได้นายกรัฐมนตรีคนเดิม หัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนเดิมที่จะเข้าแก้ไขปัญหาประเทศ

ทั้งนี้นายสมพงษ์ ระบุว่า รัฐบาลนี้ก็เปรียบเสมือนรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจ ถ้าหากยังไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญก็คงได้รัฐมนตรีหน้าเดิมๆ ขาดความสง่างาม และรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลชุดนี้มีคดีความติดตัว หรือ เคยมีปัญหาเรื่องยาเสพติด รวมถึงการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่มาจากเครือญาติ

นายสมพงษ์ กล่าวว่า ทีมงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ส่วนใหญ่มาจากรัฐบาลที่ผ่านมา ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดหนี้ครัวเรือนสูงเป็นประวัติการณ์ ประชาชนระดับรากหญ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือ และทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น พร้อมทั้งฝากรัฐบาลอย่าใช้งบประมาณที่มุ่งเน้นแต่เพียงที่กองทัพเพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสำคัญกับปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นหลัก

นอกจากนี้ รัฐบาลยังล้มเหลวทางการเมือง ไม่ให้ความสำคัญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น คดีของจ่านิว รวมถึงยังขาดความชอบธรรม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต และไม่มีการปราบปราบการทุจริตคอรัปชั่นที่ชัดเจน และเห็นว่า รัฐบาลนี้เป็นเพียงรัฐบาลประชาธิปไตยจอมปลอมและครึ่งหนึ่งเป็นเผด็จการ

ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ มองว่า นโยบายรัฐบาลเป็นนโยบายที่เลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย ไม่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน และยากต่อการติดตามผลการปฏิบัติ รวมถึงนโยบายเร่งด่วนก็ไม่ได้ระบุระยะเวลาว่า จะดำเนินการให้สำเร็จได้เมื่อไหร่

ทั้งนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์คุณสมบัติในตัวรัฐมนตรีชุดนี้ ทั้งเรื่องที่เข้าเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด เรื่องรุกที่ป่า เปิดบ่อน หรือความไม่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งในคดีกรุงไทย

นอกจากนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ ไม่เชื่อมั่นว่า บุคคลที่เคยฉีกรัฐธรรมนูญ ทำการปฏิวัติรัฐประหารจะให้มาเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร เพราะนายกรัฐมนตรีเคยทำปฏิวัติมาก่อน ถ้าจะบอกว่า ยึดมั่นในระบอบเผด็จการประชาธิปไตยยังพอเชื่อได้

พร้อมกับได้ย้อนเหตุการณ์ในวันที่ คณะรักษาความสงบแห่ชาติ (คสช.) ทำการปฏิวัติรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค. 2557 โดยกล่าวว่า "วันยึดอำนาจผมอยู่ในเหตุการณ์ ท่านกล่าวว่า เมื่อตกลงกันไม่ได้ ผมขอยึดอำนาจประเทศตั้งแต่บัดนี้ ท่านชี้หน้าพวกผม แล้วบอกว่า ใครอย่าคิดสู้ผมนะ ยังไงก็สู้ไม่ได้ แต่ประโยคสุดท้าย พูดว่า ผมเตรียมการมา 3 ปีกว่าแล้ว" นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

ทั้งนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ จึงได้ตั้งคำถามเพื่อให้นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า สิ่งที่นายกฯพูดว่า เตรียมการมา 3 ปีกว่า ซึ่งเป็นการเตรียมการที่ละเอียดมาก แต่มาใช้ข้ออ้างยึดอำนาจว่าบ้านเมืองกำลังมีความวุ่นวาย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ขณะที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวอภิปรายนโยบายรัฐบาลว่า ขอคาดการณ์ล่วงหน้าว่า คณะรัฐมนตรีชุดนี้คงผลักดันได้เพียงนโยบายเฉพาะหน้า ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเลือกตั้งสมัยหน้าของตนเองเท่านั้น โดยเน้นอัดฉีดเงิน เพิ่มคะแนนนิยม ขณะที่นโยบายสำคัญและก้าวหน้าแทบไม่มีโอกาสผลักดันแน่นอน

"ทุกพรรคอยากนำนโยบายของตนเองไปใช้ทั้งหมด แต่ไม่ได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียวก็ไม่สามารถทำได้ ยิ่งคณะรัฐมนตรีชุดนี้ รัฐบาลผสมถึง 19 พรรค มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งเป็นผลของรัฐธรรมนูญ 2560 เช่น ส.ว. 250 คน ก็ทำให้กลไกการตัดสินใจพรรคการเมืองบิดเบือนไป เพราะถ้าไม่มี ส.ว. 250 คน พรรคที่ได้ที่นั่งอันดับหนึ่งคงตั้งรัฐบาลเรียบร้อยในไม่กี่วัน แต่ที่พรรคอันดับ 2 กล้าตั้งรัฐบาลแข่งนั่นเป็นเพราะมี ส.ว. 250 คนอยู่ ทำให้พรรคอันดับ 4-5 ที่หาเสียงเรื่องการไม่สืบทอดอำนาจ จำเป็นต้องไปร่วมด้วย เพราะรู้ว่ามีกลไก ส.ว.ช่วย จึงกลายเป็นการบิดเบือนการตัดสินใจ พรรคการเมืองต้องจำใจ หรือลดหย่อนนโยบายที่ตนเองต้องการเพื่อให้ได้ในร่วมรัฐบาล เหล่านี้คือ สิ่งที่ทำให้นโยบายที่ออกมาเลื่อนลอย โลเล หลอกลวง"

1.เลื่อนลอย คือ ผสมทุกเรื่องอย่างกระจัดกระจาย ไม่มีเนื้อหาที่เป็นรูปธรรม เต็มไปด้วยคำสวยหรู 2. โลเล คือ ไม่แน่ใจว่าต้องการอะไร เขียนซับซ้อนซ่อนเงื่อน เช่น บอกว่าจะเร่งทวงคืนผืนป่า ขณะที่อีกส่วนบอกว่า จะจัดการให้ประชาชนอยู่ร่วมกับป่าได้ เป็นต้น 3.หลอกลวง คือ ช่วงหาเสียงนำเสนอนโยบายก้าวหน้าจำนวนมาก หลายพรรคพูดเรื่องขึ้นค่าแรง สวัสดิการ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร นำกัญชามาใช้ แต่พอได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกลับไม่บรรจุเป็นนโยบาย เช่น พรรคพลังประชารัฐหาเสียงไว้เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 20,000 บาท เงินเดือนอาชีวะ 18,000 บาท แต่ก็ไม่ปรากฏอยู่ในนโยบาย พรรคประชาธิปัตย์หาเสียงเรื่องยกเลิกเกณฑ์ทหาร หรือพรรคภูมิใจไทยหาเสียงเรื่องกัญชาทางการแพทย์ ให้ปลูกได้บ้านละ 6 ต้น แต่พอเป็นนโยบายเขียนเพียงว่าให้นำมาศึกษาทดลอง ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำนโยบายนี้ นี่คือ ทั้ง 3 ประการ ที่เป็นลักษณะเด่นของนโยบายรัฐบาล คือ เลื่อนลอย โลเล และหลอกลวง

นายปิยบุตร กล่าวว่า การออกแบบรัฐธรรมนูญแบบนี้ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกครั้ง จากนายกรัฐมนตรีที่มาจากการยึดอำนาจมาเป็นเลือกตั้ง และมีนโยบายแบบนี้ ที่ 19 พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล เป็นสหพรรคที่อยู่ภายใต้ระบบที่พิกลพิการ จนทำให้เราเสียโอกาสที่คณะรัฐมนตรีจะมีโอกาสผลักดันนโยบายก้าวหน้าสร้างสรรค์ ปัญหาระดับโครงสร้าง การแก้ไข จะถูกผลักดันโดยสหพรรคแบบนี้แทบไม่มีความเป็นไปได้เลย

"ต้องยอมรับว่า นโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอนปี 2557 เขียนได้ดีกว่าตอนนี้เสียอีก ซึ่งผมอยากชี้ให้ความเป็นธรรมว่า ทำไมการเขียนนโยบายรอบนี้ ที่เป็นแบบนี้ ไม่ได้โทษที่ตัวท่าน แต่โทษที่ระบบซึ่งออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 มา และบีบบังคับให้คณะรัฐมนตรีต้องเขียนนโยบายลักษณะนี้"นายปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 2560 คือ ระเบิดเวลา ถ้าจะให้บ้านเมืองปกติได้ ต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในอดีตเรามีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่เป็นฉันทามติคนทั้งประเทศ จึงอยากเชิญชวนฟื้นจิตวิญญานั้นกลับมา เราต้องยุติรัฐธรรมนูญแบบแก้แค้นเอาคืน ต้องฟื้นจิตวิญญาณรัฐธรรมนูญ 2540 ด้วยกัน บ้านเมืองจะได้ไปต่อ เราจะมีรัฐธรรมนูญฉันทามติคนร่วมกันคนทั้งประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ