พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า รัฐมนตรีได้รายงานผลการลงพื้นที่เมื่อวานนี้ (11 พ.ย.)ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ ซึ่งหลายโครงการได้ถูกบรรจุไว้ในแผนงานปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 63, 64 และ 65 แล้ว โดยมีบางโครงการเป็นเรื่องใหม่ที่ได้อนุมัติหลักการ และขอให้นำไปพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามลำดับความสำคัญ เนื่องจากรัฐบาลมีงบประมาณจำกัด ส่วนที่ยังคั่งค้างอยู่ก็ต้องหางบมาสานต่อ
ส่วนที่เป็นโครงการใหม่ ได้มีการปรับเปลี่ยนหรือหางบประมาณเพิ่มเติม แต่บางโครงการ เช่น การก่อสร้างทางหลวงแนวใหม่เชื่อมต่อสามแยกวังมะนาว จะต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จในช่วง 2-3 ปีนี้ และได้ให้นโยบายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้จัดทำโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และการลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น เช่น การเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก-ตะวันตก, การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่น เป็นต้น
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.เห็นชอบมาตรการชิมช็อปใช้ เฟส 3 ซึ่งเป็นการใช้งบประมาณเดิมเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในกระเป๋า 2 โดยหลังจากนี้กระทรวงการคลังจะได้พิจารณารายละเอียดเพื่อจะได้เริ่มดำเนินการอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะมีการปรับแก้เรื่องการลงทะเบียนให้เป็นช่วงกลางวัน
"สิ่งจำเป็น ไม่ใช่รัฐบาลใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า แต่เราต้องการให้เกิดการใช้จ่ายระดับล่างมากยิ่งขึ้น บางครั้งรัฐบาลจำเป็นต้องใช้งบประมาณลงไปขับเคลื่อนให้เกิดการซื้อขายในร้านค้าปลีก สินค้า OTOP เป็นหลัก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ส่วนปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำนั้น รัฐบาลได้มีมาตรการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า แต่แนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาวจะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ตลาดมีความต้องการสูง แต่ต้องหาทางดูแลไม่ให้ราคาสูงกว่าการนำเข้า รวมไปถึงปัญหาที่ดินทำกินและการบุกรุกที่ดินรัฐไม่ให้เกิดขึ้นอีก โดยรัฐบาลนี้จะเอาจริงเอาจังในการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพ และอาจมีการปรับแก้กฎหมายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ แต่ไม่ใช่การหลบเลี่ยง และขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งประชาชน แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ปล่อยให้รัฐบาลทำเพียงลำพังฝ่ายเดียวไม่ได้
สำหรับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้เป็นไปตามกลไกของรัฐสภา ตนจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้