พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่าครั้งที่ 3/2563 ที่กระทรวงการต่างประเทศ และเป็นครั้งแรกที่กลับมาประชุมผลัดเปลี่ยนให้แต่ละกระทรวงร่วมกันเป็นเจ้าภาพ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เริ่มดีขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ขอให้ข้าราชการทุกคนทั้งในและต่างประเทศทุกกระทรวง ทุ่มเท เสียสละ มีความอุตสาหะ จริงใจ มีทัศนคติที่ดี เพราะการทำงานในช่วงต่อไปนี้แตกต่างจากช่วงรัฐบาลก่อนที่ผ่านมา ทั้งขอทุกคนช่วยกันเดินหน้าประเทศต่อไป แม้แต่เรื่องความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ก็สามารถเป็นไปได้แต่ต้องคำนึงถึงเรื่องอัตลักษณ์ และความเหมาะสมของประเทศด้วย
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณช่วงเวลาที่ผ่านมาที่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้มาก แต่ก็ยังต้องการให้ได้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วยความร่วมมือของปลัดกระทรวง ซึ่งถือเป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชาสูงสุดในแต่ละกระทรวง และ ควรแสวงหาความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อให้เกิดการทำงานแบบไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นในหรือต่างประเทศ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวโยงกับหลายด้าน เป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติหรือตัดสินใจต่างๆ แต่เป้าหมายสูงสุดที่จะทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน
ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ส่วนราชการทุกภาคส่วนปรับรูปแบบการทำงานให้เป็น New Normal โดยต้องปรับทั้งองค์กร บุคลากร วิธีการทำงาน ลดอุปสรรคการทำงานให้เร็วขึ้น ภายใต้กฏหมายที่มีอยู่ เพื่ออำนวยการทำงานให้เดินหน้าไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ และการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ภายใต้ความท้าทายในบริบทต่างๆของโลก โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19
พร้อมมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ สร้างการรับรู้ในเวทีต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจในด้านการท่องเที่ยว ความมั่นคง แหล่งอาหารและสาธารณสุข เน้นให้เปรียบเสมือนการขายของดีที่เป็นอัตลักษณ์ของไทยให้ต่างชาติได้รับรู้ รวมถึงเรื่องการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ซึ่งจะต้องดำเนินการปรับการทำงานให้เข้มข้นยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังต้องเตรียมการรับมือกับเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ซึ่งประเทศไทยต้องปรับกฏหมายรองรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และการดำเนินการทุกอย่างต้องโปร่งใส ประเทศชาติได้ประโยชน์ ทั้งความร่วมมือระดับทวิภาคีและพหุภาคี
ส่วนความคืบหน้าการเจรจาความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค หรือ RCEP จะมีการลงนามความร่วมมือต่างๆให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ในที่ประชุมอาเซียน ที่เวียดนามเป็นเจ้าภาพ โดยหวังว่าจะได้รับความร่วมมือที่ดี เพื่อมุ่งสู่การค้าเสรี พหุภาคี ที่นับวันมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น มากกว่าการค้าทวิภาคี
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ได้เน้นย้ำการดูแลสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และสังคมผู้สูงวัย โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำแผนรองรับการประเมินประชากรในภาคส่วนต่างๆ ทั้งแรงงานและเด็กในอนาคต รวมถึงในปี 2564-2565 ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมกรอบความร่วมมือทางวิชาการและเศรษฐกิจระหว่างประเทศเอเชียใต้ หรือ BIMSTEC และการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนช่วยกันดึงศักยภาพในประเทศออกมา สิ่งใดที่พอพูดคุยกันได้ ก็อยากให้เดินหน้า ไม่อยากให้เหนี่ยวรั้งประเทศไว้ที่เดิม หากผ่อนคลายกันได้ก็อยากจะขอร้องไว้
นายกรัฐมนตรี ยังอยากให้ทุกคนมองถึงการทำงานใน 5 ปีที่ผ่านมา และ 1 ปีของรัฐบาลชุดนี้ว่ามีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง ซึ่งถือได้ว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนและแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ และดำเนินการตามแผนแม่บทในระยะที่กำหนดไว้ โดยบางแผนงานอาจจะสำเร็จ หรือบางแผนงานต้องดำเนินการต่อตามกรอบงบประมาณ แต่สิ่งสำคัญคือการดำเนินโครงการต่างๆ ประชาชนต้องยอมรับและพัฒนาในพื้นที่ โดยเฉพาะสถานการณ์เช่นนี้ ต้องเกิดการจ้างงานในพื้นที่ให้มากที่สุด แต่ทั้งนี้ทุกคนจะต้องให้ความร่วมมือกัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาย่อมมีอุปสรรค แต่ต้องหาวิธีการปฏิบัติให้เหมาะสม จะให้ถูกใจคนทั้งหมดไม่ได้ ซึ่งไม่อยากให้กระทบกับใคร เช่นเดียวกับรัฐบาลที่พยายามรักษาความมีเสถียรภาพ ทั้งของรัฐบาลและประเทศให้เกิดความสงบเรียบร้อย
นายกรัฐมนตรี ระบุว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นหรือไม่ ต้องเป็นไปตามหลักการรวมไทยสร้างชาติ คือคนไทยทุกช่วงทุกวัยและทุกกลุ่ม รวมถึงส่วนราชการ รัฐบาลและนักการเมือง จะต้องมาร่วมใจกันพัฒนาประเทศสู่วันข้างหน้า ให้สอดคล้องกับวิกฤติโควิด-19 ที่กำลังทำให้ทุกอย่างตกต่ำลง โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันต้องพัฒนาเรื่องสุขภาพควบคู่กันไปด้วย ซึ่งไทยได้รับการยอมรับจากต่างประเทศในระดับหนึ่ง