นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน(พปช.) ในฐานะอดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ(นปก.) เผยนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะแถลงจุดยืนที่ชัดเจนต่อสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงเที่ยงวันนี้ "วันนี้จุดยืนชัดเจน คุณจักรภพแถลงข่าวตอนเที่ยงที่ทำเนียบรัฐบาล...จะขอใช้ทฤษฎีถอยให้สุดซอย" นายจตุพร กล่าวถึงการประกาศลาออกจากตำแหน่งของนายจักรภพ ทางสถานีวิทยุเช้านี้ เมื่อวานนี้(29 พ.ค.) คณะกรรมการสอบสวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีมติเบื้องต้นสรุปว่า กรณีที่นายจักรภพไปกล่าวปาฐกถาให้แก่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เข้าข่ายอาจผิดกฎหมายอาญาเกี่ยวกับเรื่องการหมิ่นสถาบัน อย่างไรก็ดี ในขณะนี้ถือว่านายจักรภพ ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งจะต้องไปสู้กันในกระบวนการทางกฎหมายต่อไป ทั้งนี้กลุ่ม นปก.พร้อมจะอยู่เคียงข้างนายจักรภพ หากต้องถูกดำเนินคดีและพร้อมที่จะใช้ตำแหน่งทางการเมืองของตัวเองเพื่อประกันตัวนายจักรภพ "เราพร้อมรับชะตากรรมร่วมกัน วันที่ไปพบพนักงานสอบสวนก็จะไปด้วยกัน และผมจะใช้ตำแหน่งทางการเมืองไปประกันตัว" นายจตุพร ระบุ อดีตแกนนำ นปก.กล่าวว่า ต้องการพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าจุดประสงค์ในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นคืออะไร นอกเหนือจากการหยิบประเด็นเรื่องคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ และกรณีของนายจักรภพ โดยวันนี้จะเสนอต่อที่ประชุมพรรค พปช.ให้ถอนญัตติการขอแก้รัฐธรรมนูญ "เมื่อเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อที่พันธมิตรฯ หยิบยกขึ้นมาได้มีการถอยออกไปแล้ว ถ้าพันธมิตรฯ ยังดื้อดึงที่จะเคลื่อนไหวต่อก็จะเป็นการพิสูจน์เจตนาหรือธาตุแท้ว่ามีเป้าประสงค์เพื่อโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย" นายจตุพร กล่าว ก่อนหน้านี้ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศที่จะชุมนุมต่อเนื่องเพื่อค้านการแก้รัฐธรรมนูญ พร้อมยื่นบัญชีรายชื่อประชาชนกว่า 2 หมื่นรายชื่อ เพื่อถอดถอน ส.ส.และ ส.ว.ที่ยื่นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 50 โดยช่วงเย็นวันนี้ได้นัดระดมสมาชิกในต่างจังหวัดเข้ามาชุมนุมใหญ่ อดีตแกนนำ นปก.กล่าวว่า แม้ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 50 จะไม่ถูกถอนออกไป แต่มีกระบวนการที่จะชะลอการพิจารณาไว้ก่อนเพื่อรอผลการทำประชามติ "ร่างที่เสนอไปนั้นแม้จะไม่มีการถอนชื่อแต่ก็จะถูกแช่แข็งไว้...การที่ถอยออกมาไม่ใช่เรื่องการเสียหน้า แต่ต้องการรักษาหน้าประชาธิปไตยมากกว่าหน้าตัวเอง" นายจตุพร กล่าว อดีตแกนนำ นปก.กล่าวว่า ตนเองประเมินสถานการณ์ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะยังเดินหน้าเคลื่อนไหวต่อไป โดยหาเหตุใหม่ขึ้นมาอ้างเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเพราะไม่สามารถที่จะเปลี่ยนฝ่ายค้านให้มาเป็นรัฐบาลได้ ดังนั้นมีทางเดียวเท่านั้นคือการสร้างเหตุให้มีการยึดอำนาจ ซึ่งทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีความชอบธรรม