ทิโมธี ไกธ์เนอร์ สาบานตนรับตำแหน่งรมว.คลังสหรัฐอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ หลังจากวุฒิสภาสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 60 ต่อ 34 เสียง รับรองไกธ์เนอร์ให้ดำรงตำแหน่งรมว.คลัง โดยวุฒิสภาให้น้ำหนักกับความสามารถและประสบการณ์ในแวดวงการเงินและการคลังของไกธ์เนอร์ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขวิกฤตการณ์การเงิน มากกว่าความผิดพลาดที่ไกธ์เนอร์หลบเลี่ยงภาษีในช่วงที่เขาทำงานที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
แฮร์รี รี้ด ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภากล่าวว่า "ไกธ์เนอร์เข้ามารับตำแหน่งรมว.คลังสหรัฐในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับภาวะถดถอย ซึ่งเขาต้องทำงานอย่างหนักในการปกป้องเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์การเงินและยับยั้งภาวะถดถอย ไกธ์เนอร์เห็นภาพวิกฤการณ์ที่ชัดเจนและสามารถตีโจทย์แตก เราเชื่อว่าเขาจะทำหน้าที่นี้ได้ดี"
ไกธ์เนอร์เรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 8 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งเขามองว่าจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ขยายตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับให้คำมั่นสัญญว่าจะปฏิรูปโครงการฟื้นฟูมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ของรัฐบาลสหรัฐ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าการไหลเวียนในตลาดสินเชื่อมีมากพอที่จะกระตุ้นกลไกในตลาดให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ
ไกธ์เนอร์ วัย 47 ปี เคยเป็นเจ้าหน้าที่คลังภายใต้การบริหารงานของนายโรเบิร์ต รูบิน และ นายลอเรนซ์ ซัมเมอร์ส อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่มีบทบาทอย่างมากในการช่วยเหลือนาย เฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐคนปัจจุบันและทีมงาน ในการแก้ไขวิกฤตการณ์ในสถาบันการเงินของสหรัฐ รวมถึงแบร์ สเติร์นส, เลห์แมน บราเธอร์ส และเอไอจี
ทั้งนี้ ไกธ์เนอร์ได้รับการยอมรับในวงกว้างทั้งในตลาดเงินและตลาดทุนของสหรัฐ สังเหตุได้จากเมื่อครั้งที่มีข่าวเล็ดรอดออกมาว่า บารัค โอบามาพิจารณาเลือกไกธ์เนอร์ให้เข้ารับตำแหน่งขุนคลัง ดัชนีดาวโจนส์ก็พุ่งขึ้นทันทีกว่า 6% นอกเหนือจากความเชี่ยวชาญด้านการเงินแล้ว ไกธ์เนอร์ยังมีความรู้ด้านภาษีที่หลากหลาย รวมทั้งภาษาจีนและญี่ปุ่น ทั้งนี้หากไกธ์เนอร์เข้ารับตำแหน่งรมว.คลังสหรัฐ ภารกิจที่สำคัญของเขาคือการพยายามทำให้จีนและญี่ปุ่นยังคงซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐต่อไป
ลิล แกรมลีย์ อดีตผู้ว่าการเฟดซึ่งปัจจุบันได้ผันตัวเองไปเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาวุโสให้กับบริษัท สแตนฟอร์ด กรุ๊ป กล่าวว่า การที่โอบามา แต่งตั้งไกธ์เนอร์เป็นรมว.คลัง จะส่งผลให้ความสำคัญของ เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ลดน้อยลงในฐานะบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการคลี่คลายปัญหาให้กับบริษัทในย่านวอลล์สตรีท นอกจากนี้ ไกธ์เนอร์จะเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจของโอบามาว่า จะแต่งตั้งเบอร์นันเก้ เป็นประธานเฟดอีกสมัยหนึ่งหรือไม่ เมื่อวาระการดำรงตำแหน่งของเบอร์นันเก้หมดลงในเดือนม.ค.พ.ศ.2552 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน