ผู้เชี่ยวชาญแนะสหรัฐควรเปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีต่อความสัมพันธ์กับศรีลังกา หากไม่ต้องการสูญเสียพันธมิตรรายนี้ไป ซึ่งขณะนี้ศรีลังกากำลังหันไปหาทางกระชับความสัมพันธ์กับจีน พม่า และอิหร่าน หลังจากเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาติตะวันตกในกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
คณะกรรมาธิการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศประจำวุฒิสภาของสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐคงเพิกเฉยอยู่ไม่ได้หากต้องเสียพันธมิตรอย่างศรีลังกาไป แต่ถึงอย่างนั้น สหรัฐก็ไม่อาจนิ่งดูดายต่อความวิตกกังวลถึงปัญหาด้านการเมืองและสิทธิมนุษยชนในประเทศดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้แนะให้รัฐบาลสหรัฐมุ่งให้ความสำคัญด้านการเมืองมากกว่าด้านอื่นๆ เพราะสหรัฐลงทุนด้านเศรษฐกิจในศรีลังกาเพียงเล็กน้อย ต่างจากสหรัฐ จีน และอินเดีย ที่มีผลประโยชน์ด้านความมั่นคงด้านเส้นทางเดินเรือในมหาสมุทรอินเดียร่วมกัน
นอกจากนี้ สหรัฐควรเบนเข็มมาเน้นเรื่องการขยายความร่วมมือด้านการค้าและความมั่นคง ซึ่งอาจช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและช่วยเสริมสร้างความปรองดองกันภายในชาติ ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นในศรีลังกา นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องวางแผนการฟื้นฟูและการย้ายไปตั้งรกรากใหม่ทางตอนเหนือ รวมถึงการป้องกันและให้ความมั่นใจเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพด้านการย้ายถิ่นที่อยู่ของผู้ที่ถูกขับไล่ด้วยกระบวนการที่เป็นธรรม
ทั้งนี้ รัฐบาลของประธานาธิบดีมหินทรา ราชปักษา ของศรีลังกาได้ประกาศชัยชนะเหนือกลุ่มกบฏพยัคฆ์อีแลมในเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการสิ้นสุดการต่อสู้กับกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนภายในประเทศ ขณะเดียวกัน ศรีลังกาได้เรียกร้องให้ชาติตะวันตกให้ความช่วยเหลือในการฟื้นฟูประเทศหลังผ่านพ้นสงคราม และเลิกพูดถึงประเด็นการละเมิดสิทธิมนุยชน พร้อมทั้งเร่งโยกย้ายที่พักพิงของกลุ่มผู้อพยพกว่า 280,000 รายทางตอนเหนือของประเทศโดยเร็ว เมื่อสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตาม สหรัฐเป็นแกนนำในการบริจาคอาหารและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ด้วยการจัดสรรเงินกว่า 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งธนาคารกลางคาดการณ์ว่า การฟื้นฟูประเทศในศรีลังกาจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวที่ประมาณ 3.5% ในปีนี้ และจะเติบโตได้สูงถึง 6% ในปีหน้า