โบรกฯ มองตลาดหุ้นร่วงรับเมษาเลือด แต่ยังเชื่อสุดท้ายการเมืองมีทางออก

ข่าวการเมือง Monday April 12, 2010 10:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ตลาดฯมีโอกาสอ่อนตัวในระหว่างวัน โดยคาดว่าดัชนีฯมีโอกาสลดลงสูงสุดไม่เกิน 3.3% ซึ่งเป็นการสะท้อนความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม SCRI ประเมินว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะส่งผลดีต่อสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันให้ทุกฝ่ายหันมาใช้การเจรจา ซึ่งคาดว่าจะมีทางออกในที่สุด

สำหรับ ผลกระทบทางการเมืองต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนนั้น คาดว่า Consensus มีโอกาสปรับลดประมาณการกำไรของธุรกิจท่องเที่ยว ก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร ในขณะที่ธุรกิจ ส่งออก อาหาร เกษตร ค้าปลีก และ พลังงาน และ การแพทย์ คาดว่าจะได้รับผลกระทบในระดับต่ำ

บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับทิศทางการเมืองไทยว่า สถานการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนตลาดหุ้นไปก่อนจนกว่ามีทางออกที่สดใสและชัดเจน

อย่างไรก็ตาม คาดว่ากระแสเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ในเอเชียยังไม่หมด ก็อาจจะเป็นโอกาสของการไหลเข้าประเทศไทยอีกระลอก หลัง SET อ่อนตัวลงมาหนักแล้ว ระยะสั้นเราเชื่อว่าเงินไหลเข้าต่อแต่เข้าไปยังตลาดพันธบัตรเพื่อพักเงินไว้ก่อน ระดับที่เริ่มมั่นใจว่าจะเข้าหุ้นน่าจะเป็น 767, 758, 734, 727 จุดตามลำดับ แนวต้านยังแข็งแกร่งที่ 805 จุด ในช่วง เม.ย.นี้

บล.เคจีไอ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยจะร่วงในระดับ 30 จุด หรืออาจมากกว่านั้น เนื่องจากความเสี่ยงของประเทศ (Country risk premium) สูงขึ้นอย่างมากหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มเสื้อแดงเมื่อคืนวันเสาร์ ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 21 รายและบาดเจ็บมากกว่า 800 ราย นอกจากนี้สถานการณ์ยังมีไม่ทางออก เนื่องจากกลุ่มเสื้อแดงยังชุมนุมต่อเนื่องและเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาทันที

ด้านปฎิกริยาล่าสุดของพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ส่วนใหญ่เร่งให้มีการยุบสภาเร็วกว่ากรอบเวลา 9 เดือนที่รัฐบาลเคยให้เป็นแนวทางในช่วงเจรจาต้นเดือน เม.ย. แต่ยังไม่ได้มีการกล่าวถึงประเด็นแก้รัฐธรรมนูญว่าจะเอาอย่างไร ซึ่ง KGI มองว่ากรณีที่เป็นไปได้ที่สุดคือยุบสภาเร็ว (แต่ไม่ชัดว่าเป็น 1 เดือน, 3 เดือน หรือ 6 เดือน)

ส่วนกรณีรองลงไปที่อาจเกิดขึ้นคือการลาออกของนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ซึ่งทำได้ยากเนื่องจากยังไม่สามารถหาคนกลางมาทำหน้าที่นายกฯ ได้ ส่วนกรณีที่มีโอกาสน้อยสุดคือการเข้าควบคุมสถานการณ์โดยทหาร ทั้งนี้ในช่วงวันหยุดยาวค่อนข้างยากที่จะติดต่อแกนนำรัฐบาลมาหารือ จึงต้องรอดูความชัดเจนก่อน

ด้านนักลงทุนต่างชาติได้ซื้อหุ้นไทยสะสมค่อนข้างมากในรอบที่ผ่านมา (อยู่ที่ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท)จึงเชื่อว่าจะมีแรงขายอย่างมีนัยสำคัญ จากสถิติในอดีตพบว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจะกดดันให้แรงขายต่างชาติมากขึ้นอยู่แล้ว และในรอบนี้มีความรุนแรงและการสูญเสียมากที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อปี 2535

สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะเข้าสู่ขาลงในระยะ 2-3 เดือนข้างหน้า เว้นแต่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์ ซึ่งน่าจะทำให้หุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัยรวมทั้งกลุ่มสื่อซึ่งมีความอ่อนไหวต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะถูกกดดัน นอกจากนี้หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่นโรงแรม และกลุ่มการบินเช่น AOT และ THAI จะมีแรงขายหนักเช่นกัน ส่วนหุ้นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบน้อยคือกลุ่มเกษตร อาหาร อย่าง CPF, TUF และ MAKRO เป็นต้น

ส่วนประเด็นดอกเบี้ยไทยมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เนื่องจากสมมติฐานของการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 21 เม.ย. คือการเมืองไม่มีความรุนแรง แต่ ณ ปัจจุบันความรุนแรงเกิดขึ้นแล้ว KGI มองว่า ธปท.จะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.25% ในการประชุมเดือนนี้ และคงต้องติดตามสถานการณ์การเมืองก่อนสรุปเงื่อนเวลาขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง

บล.กสิกรไทย ระบุว่าการสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 10 เม.ย. ที่มีผู้เสียชีวิตและยังไม่สามารถสลายการชุมนุมได้ ทำให้ปัญหาการเมืองดูมีความเสี่ยงระยะสั้นมากขึ้นและอาจทำให้ SET index มีความเสี่ยงในขาลง โดยอาจลงไปทดสอบที่แนวรับ 756 จุด อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าทุกฝ่ายกำลังหาทางออก โดยคงไม่มีการสลายการชุมนุมอีก โดยทางออกที่เป็นไปได้มี 4 แนวทาง 1) แก้รัฐธรรมนูญ โดยไม่ทำประชามติ และยุบสภาภายในไม่เกิน 6 เดือน 2) นายกฯ ลาออก และจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติตามข้อเสนอพรรคเพื่อไทย 3) นายกฯ ลาออก และให้ผู้อื่นขึ้นมาเป็นนายกฯ พร้อมแก้รัฐธรรมนูญ และประกาศยุบสภา และ 4) ยุบสภาทันที และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่

เรามองว่าไม่ว่าจะเป็นทางเลือกใดตลาดหุ้นจะตอบสนองในเชิงบวก เนื่องจากตลาดชอบความชัดเจน เพียงแต่ทางออกที่ 2-3 มีความเป็นไปได้น้อย ขณะที่ทางออกที่ 1 เป็นบวกมากที่สุด และทางออก4 เป็นบวกน้อยที่สุด ดังนั้นสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว เรามองตลาดหุ้นปรับฐานเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นในกลุ่มพลังงานและธนาคาร รวมถึงกลุ่ม Domestic play


แท็ก ตลาดหุ้น  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ