สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสุงสุดระดับใหม่อีกครั้งเมื่อคืนนี้ (6 ต.ค.) เพราะได้ปัจจัยบวกจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง นอกจากนี้ รายงานที่ระบุว่าภาคเอกชนของสหรัฐลดการจ้างงานลงเป็นจำนวนมากในเดือนก.ย.ยังกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้วย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 7.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,347.70 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,340-1,351 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 30.60 เซนต์ ปิดที่ 23.043 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 2.65 เซนต์ ปิดที่ 3.7530 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 11.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,712.00 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 589.65 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 11.45 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดทองคำได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) หรือ QE ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะยิ่งทำให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอีก
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหลังจาก ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านตลาดแรงงานในสหรัฐเปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วประเทศสหรัฐลดการจ้างงานลง 39,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. เมื่อเทียบกับเดือนส.ค.ที่เพิ่มการจ้างงาน 10,000 ตำแหน่ง และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าภาคเอกชนจะเพิ่มการจ้างงาน 24,000 ตำแหน่ง
นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำสำหรับปี 2553 โดยระบุว่า สกุลเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงอย่างรวดเร็วอันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเรื่องการใช้มาตรการ QE ของเฟดนั้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาโลหะมีค่าประเภทต่างๆ รวมถึงทองคำ ให้พุ่งขึ้นอีกในเร็วๆนี้
ทั้งนี้ มอร์แกน สแตนลีย์คาดว่า ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,315 ดอลลาร์/ออนซ์ในปีหน้า และมีความเป็นไปได้ที่ราคาทองจะทะยานขึ้นไปยืนที่ระดับ 1,512 ดอลลาร์/ออนซ์