ส.อ.ท.หวั่นจีนตีตลาดผลิตรถยนต์ แนะรักษาฐานผลิตรถกระบะของโลกให้ได้

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 11, 2010 14:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.)กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปีนี้ยังแข็งแกร่ง จากการหารือกับผู้ประกอบการคาดว่า ปีนี้จะมียอดผลิตรถยนต์ 1.6-1.7 ล้านคัน ส่วนปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.8-2 ล้านคัน ซึ่งการเติบโตเป็นไปตามอุตสาหกรรมชิ้นส่วนที่มีการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่ขณะนี้คู่แข่งสำคัญของไทย คือ จีน เนื่องจากมีต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำกว่าไทย ดังนั้น สิ่งที่ผู้ผลิตในไทยต้องทำก็คือการเน้นในด้านคุณภาพเป็นสำคัญ

"ตอนนี้จีนถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ค่อนข้างโตเร็วมาก ปีก่อนผลิตได้ 15 ล้านคัน ปีนี้น่าจะอยู่ที่ 17-18 ล้านคัน ซึ่งการจะแข่งขันได้ ภาครัฐและผู้ประกอบการต่างๆ ต้องร่วมมือกัน โดยเน้นเรื่องคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ" นายพยุงศักดิ์ กล่าว

นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร รองประธาน ส.อ.ท. และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กล่าวว่า ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 53 จะมียอดผลิตรถยนต์ 1.7 ล้านคัน หรือเติบโต 70% จากปีก่อนที่ผลิตรถยนต์ได้ 1 ล้านคัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศ 7.5 แสนคัน เพื่อการส่งออก 9.5 แสนคัน

ส่วนปี 54 คาดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ยังมีแนวโน้มเติบโต แต่อัตราการเติบโตอาจไม่สูงเท่ากับปีนี้ โดยคาดว่าจะผลิตรถยนต์ได้ 1.8 ล้านคัน หรือเติบโต 7% แบ่งเป็นการจำหน่ายในประเทศ 8 แสนคัน และส่งออก 1 ล้านคัน

"9 เดือนแรกเราผลิตได้แล้ว 1.2 ล้านคัน แบ่งเป็นในประเทศ 5.5 แสนคัน ส่งออก 6.6 แสนคัน และเมื่อกลางปีเราคาดว่าทั้งระบบจะผลิตได้ 1.6 ล้านคัน แต่ตอนนี้ตั้งเป้าใหม่เป็น 1.7 ล้านคัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา"นายศุภรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมยานยนต์ 9 เดือนแรก คิดเป็นมูลค่า 4.3 แสนล้านบาท และมูลค่ารวมทั้งปี 53 คาดว่าจะเกิน 5.1 แสนล้านบาท และมีโอกาสถึง 6 แสนล้านบาทได้ ใกล้เคียงมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์

ปัจจัยที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโตต่อเนื่อง มาจากการที่ไทยเป็นฐานการประกอบรถกระบะที่สำคัญของโลก และภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์มาโดยตลอด ประกอบกับ ฐานผู้ผลิตชิ้นส่วนมีประสิทธิภาพแข็งแกร่ง รวมทั้งมีโครงสร้างพื้นฐาน เช่น นิคมอุตสาหกรรม ที่มีคำความสะดวก

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังมีจุดอ่อน เนื่องจากยังไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตนเอง จึงต้องนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักรเป็นหลัก ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงเมื่อเทียบประเทศอื่น ส่วนบุคลากรแม้จะมีฝีมือ แต่ปัจจุบันค่อนข้างขาดแคลน และแม้ภาครัฐให้การสนับสนุนแต่นโยบายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่สอดคล้อง

นายศุภรัตน์ มองว่า การที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ ไทยต้องพยายามรักษาการเป็นผู้นำผลิตรถกระบะไว้ให้ได้ ควบคู่การพัฒนารถยนต์พลังงานทางเลือก ซึ่งเป็นกระแสใหม่ในตลาดโลก ขณะที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนต้องมีการพัฒนาคุณภาพสินค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อให้แข่งขันได้ในตลาดเสรี ส่วนนโยบายภาครัฐต้องมีความแน่นอนและสอดคล้องกัน

สำหรับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม โดยขณะนี้หลายค่ายรถยนต์ได้มีการปรับตัว เช่น การปรับเพิ่มราคา และการปรับเปลี่ยนสกุลเงินการซื้อขาย ส่วนราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นมีผลทางจิตวิทยาในช่วงแรก โดยผู้ใช้รถยนต์อาจหันไปใช้พลังงานทดแทนอื่นมากขึ้น แต่ในที่สุดผู้ใช้รถยนต์จะปรับตัวได้

"อัตราแลกเปลี่ยนคงเป็นปัญหาหนึ่งที่กระทบ แต่เราห่วงเรื่องตลาดมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นตลาดยุโรป ตะวันออกลาง เอเซียแปซิฟิก โดยเฉพาะออสเตรเลีย หากตลาดเหล่านี้ยังดี ยอดขายก็ไม่น่าตก" นายศุภรัตน์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ