ข้อมูลสถิติปริมาณสำรองปิโตรเลียมจีน (CPSS) จากบริการข้อมูลการเงินแบบออนไลน์ของสำนักข่าวซินหัวระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ของจีนในช่วงสิ้นสุดเดือนพ.ย. 2553 ลดลง 3.2% เมื่อเทียบเป็นรายได้
อย่างไรก็ดี จากผลการสำรวจของ CPSS พบว่า ข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ของจีนนั้นไม่นับรวมสต็อกน้ำมันดิบจากสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ
ข้อมูลของ CPSS ชี้ว่า สต็อกผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทต่างๆ ซึ่งนับรวมถึงสต็อกน้ำมันเบนซิน ดีเซล และน้ำมันก๊าดด้วยนั้น เพิ่มขึ้น 5% ในช่วงสิ้นเดือนพ.ย. เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติเมื่อช่วงสิ้นเดือนต.ค.
เมื่อแบ่งเป็นรายประเภทแล้ว สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 8.7% ส่วนสต็อกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.8% ต่อเดือน และสต็อกน้ำมันก๊าดเพิ่มขึ้น 7%
นักวิเคราะห์ด้านพลังงานของซินหัวระบุว่า ในเดือนพ.ย.นั้น เกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันดีเซลมากขึ้น ส่งผลให้หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลและสื่อจับตาสถานการณ์พลังงานในจีนอย่างใกล้ชิด ขณะที่บริษัทน้ำมันต่างตกอยู่ภายใต้แรงกดดันให้นำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในเดือนดังกล่าว ส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนพ.ย.นั้นอยู่ที่ 20.91 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าสถิติเดือนต.ค.ประมาณ 4.52 ล้านตัน คิดเป็นยอดนำเข้าสุทธิ 20.33 ล้านตัน
ผลผลิตน้ำมันดิบภายในประเทศเมื่อเดือนพ.ย.อยู่ที่ 17.52 ล้านตัน ลดลง 240,000 ตัน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนต.ค. ขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันดิบอยู่ที่ระดับกว่า 36 ล้านตัน ส่งผลให้สต็อกน้ำมันดิบช่วงสิ้นเดือนพ.ย.ลดลง
ทั้งนี้ อุปทานที่ตึงตัวส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลในเดือนพ.ย.สูงขึ้น และยังกระตุ้นผลผลิตน้ำมันดีเซลให้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงสุดระดับใหม่ที่ 14.18 ล้านตันในเดือนเดียวกัน ส่วนการนำเข้าน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ตัวเลข CPI ที่ขยายตัวขึ้น 5.1% ในเดือนพ.ย.นั้น ส่งผลให้รัฐบาลกลางต้องใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ รวมทั้งลดการคาดการณ์เรื่องการขึ้นราคาน้ำมัน ส่วนการกำหนดเป้าหมายในการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศนั้นอาจจะมีส่วนช่วยคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดีเซล เนื่องจากจำนวนเครื่องผลิตน้ำมันดีเซลที่มีการใช้งานอยู่นั้นลดลง นอกจากนี้ โดยในช่วงฤดูหนาวนั้นปกติจะเป็นช่วงที่การผลิตในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่น้อยลง ส่งผลให้ปริมาณการใช้งานน้ำมันดีเซลในเดือนพ.ย.ลดลงด้วย