ธนาคารกลางจีนอาจจะเร่งจังหวะในการใช้นโยบายการเงินแบบระมัดระวัง เนื่องจากแรงกดดันด้านสภาพคล่องที่เป็นผลมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อและสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศ
ความเคลื่อนไหวที่อาจจะเกิดขึ้นคือ จีนอาจขึ้นเพดานการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) อีกครั้งภายในเดือนนี้
ข้อมูลล่าสุดที่ธนาคารกลางจีนได้เปิดเผยนั้น ระบุว่า ยอดปล่อยกู้ใหม่ของจีนในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว อยู่ที่ 4.807 แสนล้านหยวน และยอดการปล่อยกู้ทั้งหมดตลอดทั้งปี 2553 อยู่ที่ 7.95 ล้านล้านหยวน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายตลอดทั้งปีของรัฐบาลที่ 7.5 ล้านล้านหยวน
เอ้อ หยงเจียน นักวิจัยของศูนย์วิจัยการเงินของแบงก์ ออฟ คอมมิวนิเคชั่นส์ มองว่า ธุรกิจจำนวนมากได้กู้เงินก่อนที่จะถึงปี 2554 เนื่องจากความต้องการสินเชื่อธนาคารในระบบเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้นยังแข็งแกร่ง และการควบคุมการปล่อยสินเชื่อในปีนี้ก็คาดว่า จะมีความเข้มงวดมากขึ้น
หลู เจิงเหว่ย นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของอินดัสเทรียล แบงก์ เผยว่า การขยายตัวของสินเชื่อนั้นลดลงอย่างมากในปี 2553 และสถานการณ์ก็อาจจะเป็นเช่นนี้ต่อไปในปี 2554
อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์หลายรายได้แย้มว่า ยอดการปล่อยกู้ใหม่สูงถึง 6 แสนล้านหยวนในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆต้องการที่จะปล่อยกู้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการใช้มาตรการควบคุมที่จะเข้มงวดมากขึ้นในปีนี้
โดยนอกเหนือจากการปล่อยกู้ในระดับสูงแล้วนั้น สัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศที่พุ่งขึ้นก็สร้างแรงกดดันให้กับสภาพคล่องเช่นกัน
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนขยายตัวค่อนข้างรวดเร็วในไตรมาส 4 ของปี 2553 โดยเพิ่มขึ้น 1.99 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าทุนสำรองในไตรมาส 3 อยู่ 5 พันล้านดอลลาร์
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีน ณ สิ้นปี 2553 อยู่ที่ 2.85 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18.7% จากระดับปีที่แล้ว ข้อมูลจากธนาคารกลางจีนระบุ
นักวิจัยของศูนย์วิจัยการเงินฯ กล่าวต่อไปว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว คือ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่มีเสถียรภาพ และยอดเกินดุลการค้าที่สูงขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความแตกต่างระหว่างสัญญาซื้อสกุลเงินต่างประเทศและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ กับยอดเกินดุลการค้านั้น อยู่ในระดับสูงมากในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2553 ซึ่งบ่งชี้ว่า กระแสเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงดังกล่าว
แม้ว่า ธนาคารกลางจีนจะขึ้นเพดานกันสำรองบ่อยครั้ง และเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว แต่ผลพวงที่เกิดขึ้นนั้นยังไม่แน่นอน เมื่อพิจารณาจากตัวเลขการเงินเหล่านี้
คงเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นสัญญาซื้อสกุลเงินต่างประเทศลดลง เมื่อพิจารณาจากกระแสคาดการณ์เรื่องการแข็งค่าของเงินหยวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ทำให้เป็นเรื่องท้าทายสำหรับจีนในการจัดการกับแรงกดดันด้านสภาพคล่องที่ได้รับปัจจัยผลักดันจากยอดการปล่อยกู้และสัญญาซื้อสกุลเงินต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น
นักวิจัยของศูนย์วิจัยการเงินฯ กล่าวว่า แม้เพดานกันสำรองของธนาคารขนาดใหญ่ของจีนจะทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% แต่ธนาคารกลางจีนก็อาจจะขึ้นเพดานกันสำรองอีก เพื่อบริหารสภาพคล่องที่สูงเกินไป รับมือกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น และจัดการกับข้อจำกัดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ แผนกบริหารเชิงกลยุทธ์ของธนาคารอะกริคัลเจอรัล แบงก์ ออฟ ไชน่า ระบุในรายงานว่า ธนาคารกลางจีนจะขึ้นเพดานกันสำรอง 3-5 ครั้งในปีนี้ ซึ่งรวมแล้วมีการปรับขึ้นทั้งหมด 1.50-2.50%
แม้ว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยถือเป็นเรื่องจำเป็นในยามที่จีนต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระดับสูง แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งมองว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (สเปรด) ที่สูงขึ้นระหว่างจีนและประเทศอื่นๆ จะนำไปสู่กระแสเงินทุนไหลเข้า ท่ามกลางสภาพคล่องที่สูงเกินไปทั่วโลกและการใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบใหม่ของสหรัฐ
นอกจากนี้ เงินหยวนจะยังคงแข็งค่าขึ้นปานกลางในปีนี้ และผลพวงอันเนื่องมาจากเงินหยวนแข็งค่าจะช่วยชดเชยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้หมายความว่า จีนอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อยในปีนี้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน