สตีเฟ่น คิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร HSBC กล่าวว่า กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่เริ่มใช้มาตรการต้านเงินเฟ้อซึ่งเป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับประเทศกลุ่มนี้ แต่ก็ยังไม่มีความแน่นอนว่า นโยบายเหล่านี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่
"คำถามใหญ่สำหรับปี 2554 ก็คือว่า กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่สามารถเปลี่ยนนโยบายที่จะสามารถฉุดเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้หรือไม่" คิงกล่าวกับสำนักข่าวซินหัว
นายคิงระบุว่า มาตรการต่างๆที่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่นำมาใช้ส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มเพดานกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย การควบคุมและป้องกันการไหลเข้าของเงินร้อนนั้น ถือเป็น "มาตรการคุมเข้มเชิงปริมาณ" ซึ่งตรงข้ามกับ "มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ" ที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วนำมาใช้
"นี่เป็นนโยบายแบบลองผิดลองถูก เพราะเรายังไม่เคยเห็นว่าเศรษฐกิจโลกสามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วยการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณและมาตรการคุมเข้มเชิงปริมาณไปพร้อมๆกัน" นายคิงกล่าวนายคิงย้ำว่าก รจะใช้นโยบายให้ได้ผลตามเป้าหมายนั้นจะต้องใช้เวลานาน โดยกล่าวว่า รัฐบาลไม่สามารถฉุดเงินเฟ้อให้ร่วงลงในทันทีได้ แต่อาจจะดำเนินการในบางเรื่องได้ เช่น กำจัดต้นตอของการเกิดเงินเฟ้อในระยะยาว
นายคิงยังกล่าวด้วยว่า การที่ธนาคารกลางในหลายประเทศเริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินนั้น ก็เพราะต้องการส่งสัญญาณกับนักลงทุนว่า ธนาคารกลางมีจุดมุ่งหมายที่จะควบคุมการคาดการณ์เรื่องเงินเฟ้อ เพราะหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในขณะนี้ก็คือ การที่ผู้คนคาดการณ์กันมากขึ้นว่า อันตรายของเงินเฟ้อกำลังเพิ่มสูงขึ้น ส่วนสาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้เงินเฟ้อในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่พุ่งขึ้นนั้น นายคิงระบุว่า ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการขยายตัวที่แข็งแกร่งของประเทศกลุ่มนี้ รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม และผลพวงของการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม "ทุกวันนี้ประชาชนสามารถกู้ยืมเงินได้ถูกมากในรูปสกุลเงินดอลลาร์ เงินยูโร และเงินปอนด์ จากนั้นก็จะนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อในประเทศอื่นๆที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มการขยายตัวในระยะยาวที่ดีกว่า ซึ่งนั้นก็คือกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่" นายคิงอธิบาย
สำหรับกรณีของจีนซึ่งพยายามที่จะควบคุมเงินเฟ้อโดยผ่านการเพิ่มเพดานกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น นายคิงกล่าวว่า สิ่งสำคัญที่จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดในประเทศนี้ก็คือ การขยายตัวของปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ (money supply)
"หากปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบยังคงแข็งแกร่ง นั่นเป็นเรื่องที่ต้องกังวล แต่หากตัวเลขดังกล่าวเริ่มชะลอตัวลง ก็จะเป็นสัญญาณแรกที่บ่งชี้ว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเพื่อลดสภาพคล่องภายในประเทศ และจะทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวลดลงในที่สุด" นายคิงกล่าวบทสัมภาษณ์โดย จาง ยื่อหนาน และ ซีซี จากสำนักข่าวซินหัว