สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นเมื่อคืนนี้ (4 มี.ค.) เนื่องจากสถานการณ์รุนแรงในลิเบียยังคงเป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อปกป้องความเสี่ยง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปียังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนสัญญาทองคำทะยานขึ้นด้วย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 12.2 ดอลลาร์ หรือ 0.86% ปิดที่ 1,428.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,413.80-1,432.80 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์ ปิดที่ 35.327 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.ร่วงลง 0.3 เซนต์ ปิดที่ 4.472 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 4.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,837.90 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย.ดิ่งลง 5 ดอลลาร์ ปิดที่ 809.80 ดอลลาร์/ออนซ์
นักลงทุนแห่ซื้อทองคำหลังจากกลุ่มผู้นำฝ่ายค้านของลิเบียได้ปฏิเสธข้อเสนอการไกล่เกลี่ยของนายฮูโก ชาเวซ ประธานาธิบดีเวเนซูเอล่า โดยกองกำลังกลุ่มต่อต้านพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ได้บุกยึดท่าเรือลำเลียงน้ำมันราสลานอฟ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองทริโปลีประมาณ 611 กิโลเมตร
ไมค์ ดาลี นักวิเคราะห์จาก PFGBEST Group กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้นักลงทุนต้องการถือครองทองคำและโลหะเงินเพื่อปกป้องความเสี่ยง นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เป็นผลมาจากราคาอาหารและน้ำมันที่แพงขึ้น ยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความต้องการในการถือครองทองคำเพื่อปกป้องความเสี่ยงนั้น ปรับตัวสูงขึ้นด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาทองคำพุ่งขึ้นติดต่อกัน 6 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปี 2550 และเมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา สัญญาทองคำพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,437.7 ดอลลาร์/ออนซ์