นายโรเบิร์ต จอห์นสัน ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจของบริษัทวิจัยการลงทุนอิสระ มอร์นิ่งสตาร์ อิงค์ ในชิคาโก ระบุ หากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจโลกจะพบกับความท้าทายครั้งใหญ่ แต่ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันอาจส่งผลให้เกิดภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
นายจอห์นสันให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นว่า "จริงอยู่ที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นในระยะนี้ แต่ผมเชื่อว่าราคาน้ำมันจะไม่มีทางพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 140 และ 150 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลเหมือนเมื่อปี 2551"
เขาอธิบายว่า "เห็นได้ชัดว่าอุปสงค์น้ำมันปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่เศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มแข็งแกร่ง ซึ่งภาวะดังล่าวสร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมัน ดังนั้นอุปทานน้ำมันจะกลายเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงเมื่อประเทศในแอฟริกาเหนือเริ่มประสบปัญหา และนั่นทำให้เกิดแรงกดดันด้านอุปทานน้ำมัน ซึ่งส่งผลให้ราคาแพงขึ้น"
อย่างไรก็ตาม เขาคาดการณ์ว่าหากสถานการณ์ทางการเมืองในแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลางเริ่มมีเสถียรภาพ ราคาน้ำมันจะกลับมาสู่ช่วงขาลงได้ไม่ยาก "เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเพราะปัจจัยที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ไม่ได้เคลื่อนไหวตามปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทานเพียงเท่านั้น" เขาเสริม
เมื่อถามเรื่องผลกระทบของราคาน้ำมันที่มีต่อเศรษฐกิจโลกนั้น เขากล่าวว่า "ยังคงเร็วไปหน่อยที่จะกล่าวว่า ภาวะเช่นนี้อาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันขึ้นอยู่กับว่าราคาจะสูงขึ้นแค่ไหนและจะสูงขึ้นไปถึงเมื่อไหร่ แต่เห็นได้ชัดเจนว่าน้ำมันเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ในทุกๆ วัน"
นอกจากนี้ นายจอห์นสันกล่าวถึงแนวโน้มอุปทานน้ำมันโลกว่า ต้องใช้เวลา โดยอาจจะมีการค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ในบราซิลและรัสเซีย รวมถึงเมืองอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกาใน 10 -20 ปีข้างหน้า แต่ในระยะสั้นนี้ ยังเป็นเรื่องยากที่จะพบแหล่งน้ำมันโดยทั่วไป