ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: เยนพุ่งเทียบดอลล์หลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในญี่ปุ่น

ค่าเงินเยนพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (11 มี.ค.) เนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในญี่ปุ่นได้กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ซื้อสกุลเงินที่ปลอดภัย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้นอีกหากบริษัทประกันต้องระดมทุนเพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ประกัน ด้วยการขายสินทรัพย์ของบริษัทในต่างประเทศ

ค่าเงินเยนพุ่งขึ้น 1.22% แตะที่ 81.870 เยนต่อดอลลาร์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 82.880 เยนต่อดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินฟรังค์สวิสพุ่งขึ้น 0.31% แตะที่ 0.9291 ฟรังค์ต่อดอลลาร์ จากระดับ 0.9320 ฟรังค์ต่อดอลลาร์

ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.83% แตะที่ 1.3906 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3792 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินปอนด์ขยับขึ้น 0.17% แตะที่ 1.6081 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6053 ดอลลาร์สหรัฐ

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 1.45% แตะที่ 1.0149 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.0004 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 1.13% แตะที่ 0.7429 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7346 ดอลลาร์สหรัฐ

เทรดเดอร์กล่าวว่า ในช่วงแรกนั้น นักลงทุนได้กระหน่ำขายสกุลเงินเยนหลังจากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในบริเวณฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นเมื่อวานนี้ ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แต่หลังจากสถานการณ์เริ่มมีความชัดเจนและมีการประเมินมูลค่าความเสียหายจากทั้งภาครัฐและเอกชนแล้ว นักลงทุนก็เริ่มกลับเข้าซื้อเงินเยนอีกครั้ง

นักวิเคราะห์คาดว่า เงินเยนมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นอีกหากบริษัทประกันต้องระดมทุนเพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ประกัน ด้วยการขายสินทรัพย์ของบริษัทในต่างประเทศ เนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้นับเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และยังส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิในหลายประเทศของเอเชียด้วย

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) มีกำหนดจะจัดการประชุมวาระพิเศษในวันจันทร์นี้ โดยผู้ว่าบีโอเจออกแถลงการณ์เมื่อช่วงค่ำวันศุกร์ว่า บีโอเจมีความพร้อมและจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาดการเงินภายในประเทศ

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนม.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% แตะที่ 1.453 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับเดือนธ.ค. ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการใช้จ่ายในภาคเอกชนยังคงแข็งแกร่ง และจะช่วยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐให้ฟื้นตัวรวดเร็วขึ้น