ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เผยแพร่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เมื่อวันที่ 9 มี.ค.54 ที่มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จาก 2.25% มาเป็น 2.50% ต่อปี ซึ่งคณะกรรมการฯ เห็นตรงกันว่าควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อส่งสัญญาณที่ต่อเนื่องในการปรับนโยบายเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งน่าจะเพียงพอในการดูแลไม่ให้อุปสงค์เร่งตัวจนเอื้อต่อการปรับราคาสินค้าที่เร็วเกินไป รวมทั้งลดโอกาสที่จะเกิดความไม่สมดุลในระบบการเงินได้
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ เห็นว่า มีความจำเป็นที่จะต้องติดตามพัฒนาการของแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด
"กรรมการฯ ส่วนใหญ่ เห็นว่าควรทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินนโยบายและไม่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกให้ตลาด โดยหากมีสัญญาณของแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด ก็สามารถปรับ นโยบายให้เหมาะสม รวมทั้งอาจใช้ทางเลือกอื่นๆ เป็นการเสริมให้การดำเนินนโยบายมีความครอบคลุมมากขึ้นในการดูแลอัตราเงินเฟ้อ ในประเด็นนี้" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
ทั้งนี้ จากการพิจารณาภาวะตลาดการเงิน พบว่าเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวเป็นลักษณะ 2 ทิศทางมากขึ้น โดยล่าสุดแข็งค่าขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากที่อ่อนค่าลงในช่วงครึ่งหลังของเดือนมกราคมตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ขณะที่เงินดอลลาร์ ยังคงอ่อนค่า เนื่องจากทางการยังยืนยันที่จะดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเชิงปริมาณครั้งที่ 2 (QE II) ตามกำหนด สำหรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield curve) ระยะสั้นถึงระยะปานกลางปรับสูงขึ้น สะท้อนการ price-in ของตลาดการเงินต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.
ด้านทิศทางเศรษฐกิจต่างประเทศนั้น ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นจากปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลางที่มีผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งจากราคาอาหารและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่คาดว่าผลกระทบจากปัจจัยด้านอุปทานโดยเฉพาะราคาน้ำมันต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะมีจำกัด เนื่องจาก 1) เศรษฐกิจโลกพึ่งพาน้ำมันน้อยลง 2) ราคาน้ำมันที่แท้จริงในปัจจุบันยังต่ำกว่าระดับที่เคยปรับขึ้นไปสูงสุดในปี 2551 และ 3) หลายประเทศในเอเชียดำเนินมาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันหรือช่วยเหลือค่าครองชีพ ภายใต้ฐานะการคลังที่ยังไม่มีข้อจำกัดมาก
"แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนความต้องการที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่เป็นสำคัญ ชและเป็นไปตามที่คาด จึงเห็นว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ" เอกสารเผยแพร่ของ ธปท.ระบุ
ด้านภาวะเศรษฐกิจในประเทศนั้น เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 ปี 53 และเดือนม.ค.54 จากทั้งอุปสงค์ในประเทศจากการบริโภคและการลงทุนและการส่งออก ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป นอกจากนี้ แรงกระตุ้นผ่านการอุปโภคและการลงทุนที่แท้จริงของภาครัฐในปีงบประมาณ 54 ปรับเพิ่มขึ้นจากการเร่งเบิกจ่ายเพื่อช่วยเหลืออุทกภัยในช่วงต้นปี และงบกลางปีที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่การนำเข้ามีแนวโน้มขยายตัวดี
ทั้งนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปยังมีแรงส่งต่อเนื่อง จากรายได้เกษตรกรที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และรายได้นอกภาคเกษตรที่สูงขึ้น จึงคาดว่าปัญหาราคาน้ำมันในปัจจุบันจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ภาคการเงิน พบว่าสินเชื่อภาคเอกชนเร่งขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อภาคธุรกิจที่กลับมาอยู่ในระดับสูงกว่าก่อนช่วงวิกฤตแล้ว ในขณะที่สินเชื่อภาคครัวเรือนยังขยายตัวได้ดีสอดคล้องกับความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นของผู้บริโภค โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ในขณะที่คุณภาพสินเชื่อยังอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะเดียวกันพบว่ามีการแข่งขันระดมเงินฝากมากขึ้น เพื่อสนับสนุนความต้องการของสินเชื่อและบริหารต้นทุนดอกเบี้ยในช่วงขาขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ปรับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงตามการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าการประชุมครั้งอื่นๆ ที่ผ่านมาด้วย
สำหรับเสถียรภาพด้านราคา แรงกดดันต่อเงินเฟ้อยังคงมีต่อเนื่องและชัดเจนขึ้นจากการประชุมครั้งก่อน จากการขยายตัวของเศรษฐกิจ การคาดการณ์เงินเฟ้อที่ได้รับผลจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก รวมทั้งต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องและตลาดแรงงานที่ตึงตัว และการต่ออายุมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพออกไปอีก 4 เดือน จะช่วยชะลอการเร่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานได้บางส่วน