รมว.อุตสาหกรรม เผยภาวะการลงทุนช่วงไตรมาส 1/54 สดใส หลังมีจำนวนโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมลงทุน 453 โครงการ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 58% โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 117,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13% และมีผลสำรวจบริษัทขนาดใหญ่มีแผนขยายการลงทุนปีนี้อีกกว่า 1.3 แสนล้านบาท และเพิ่มการจ้างงานเกือบ 30,000 ตำแหน่ง
"ภาวะการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้(มกราคม-มีนาคม) ขยายตัวทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน โดยมีโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมรวม 453 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 58 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวน 286 โครงการ ขณะที่มูลค่าเงินลงทุนรวมของไตรมาสแรกปีนี้มีมูลค่าประมาณ 117,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13" นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าว
สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการขอรับส่งเสริมลงทุนมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี กระดาษ และพลาสติก มีเงินลงทุนรวม 30,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10 เท่า เพราะมีโครงการขนาดใหญ่ยื่นขอรับส่งเสริมในกิจการผลิตปิโตรเคมี และผลิตเยื่อกระดาษ มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 22,000 ล้านบาท
อันดับที่สอง คือ อุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค มีเงินลงทุนรวม 27,800 ล้านบาท มีโครงการสำคัญ ได้แก่ กิจการผลิตไฟฟ้าจากของเสียจากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ โรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการขนส่งทางท่อ กิจการโรงแรม มูลค่าลงทุนรวมกว่า 11,000 ล้านบาท
อันดับสาม คือ อุตสาหกรรมโลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 24,500 ล้านบาท มีโครงการสำคัญ ได้แก่ กิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ รวม 3 โครงการ กิจการผลิตเครื่องจักรและชิ้นส่วนมูลค่าลงทุนรวมกว่า 10,000 ล้านบาท
ตามด้วยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 14,500 ล้านบาท มีโครงการสำคัญ ได้แก่ กิจการผลิต Wafer Probe และ กิจการผลิต IC และกิจการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ลงทุนรวมกว่า 7,000 ล้านบาท
ส่วนอุตสาหกรรมเกษตร มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 12,200 ล้านบาท โครงการลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ กิจการผลิต Particle Board กิจการผลิตอาหารสัตว์ และกิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 4,000 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ(FDI) ในช่วงไตรมาสแรกมีจำนวนทั้งสิ้น 254 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 70,111 ล้านบาท โดยการลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขอรับส่งเสริมมากที่สุดทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน มีจำนวน 132 โครงการ คิดเป็นสัดส่วน 52% ของโครงการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด และมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 35,346 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 67% โดยมีโครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ลงทุนรวมกว่า 10,000 ล้านบาท เป็นต้น
รองลงมาเป็นการลงทุนจากประเทศสิงคโปร์มีมูลค่าการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 14% ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศ โครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการผลิต IC และโครงการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ เงินลงทุนรวมกว่า 7,000 ล้านบาท
อันดับสาม คือ ประเทศฮ่องกง โดยมีมูลค่าลงทุนรวม 9,749 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 13% ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศทั้งสิ้น โครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าจากของเสียจากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ โครงการ Theme Park และโครงการโรงแรม เงินลงทุนกว่า 8,000 ล้านบาท
ขณะที่นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กล่าวว่า ผลสำรวจภาวะการจ้างงาน และการผลิตของบริษัทขนาดใหญ่ที่ได้รับการส่งเสริม มูลค่าเงินลงทุนของทุกโครงการรวมกันตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป โดยการสำรวจเมื่อเดือน ก.พ.-มี.ค.54 มีบริษัทตอบแบบสอบถามจำนวน 310 บริษัท ระบุว่าจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้อุปสงค์ของตลาดหลักๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อีก 6 เดือนข้างหน้า บริษัทมีแนวโน้มจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นถึง 29,863 คน
ทั้งนี้ แนวโน้มการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มยานยนต์และผลิตภัณฑ์โลหะ กลุ่มเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร
นอกจากนี้ บริษัทที่ตอบแบบสอบถาม 310 ราย ระบุด้วยว่าในปีนี้จะมีการเพิ่มอัตราการใช้กำลังผลิตจาก 67% ในปี 53 เป็น 75% ในปี 54 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกหมวดอุตสาหกรรม โดยหมวดเกษตรกรรมและผลผลิตทางการเกษตร คาดว่าจะใช้กำลังผลิตสูงสุด คือ 82% รองลงมา คือ หมวดเคมี กระดาษ และพลาสติก ร้อยละ 81 และหมวดยานยนต์และผลิตภัณฑ์โลหะ 78%
เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ในการสำรวจครั้งนี้มี 109 บริษัทจากจำนวน 310 บริษัทที่ตอบแบบสอบถาม มีแผนจะขยายการลงทุนในปี 54 มูลค่าเงินลงทุนรวม 130,575 ล้านบาท กระจายอยู่ในทุกอุตสาหกรรม อันดับหนึ่งคือกลุ่มอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค จะขยายการลงทุนกว่า 58,000 ล้านบาท รองลงมา คือ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จะขยายการลงทุนกว่า 23,000 ล้านบาท กลุ่มหมวดยานยนต์และผลิตภัณฑ์โลหะ จะขยายการลงทุนกว่า 21,000 ล้านบาท และกลุ่มเคมี กระดาษ และพลาสติก จะขยายการลงทุนกว่า 16,000 ล้านบาท