นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีผลกระทบต่อต้นทุนของภาคธุรกิจไม่มากนัก เพราะเป็นการทยอยปรับขึ้นคราวละ 0.25% และอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อต้นทุนประมาณ 3-5% เท่านั้น ซึ่งส่วนนี้หมายถึงอัตราดอกเบี้ย MLR ที่เฉลี่ยอยู่ในระดับ 6% แต่ที่ตลาดคาดการณ์ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นมาจากต้นทุนการผลิต และค่าจ้างแรงงาน
แต่หากไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวมากขึ้นจนกระทบต่อราคาสินค้าให้ปรับสูงขึ้น ในที่สุดเราจะก่อให้เกิดผลกระทบหลายด้าน การเรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือนและค่าจ้างแรงงานต้องตามมา รวมทั้งหากไม่สามารถยับยั้งอัตราเงินเฟ้อได้แล้วปล่อยให้สูงไปถึง 5-6% อัตราดอกเบี้ยระยะยาวก็จะต้องปรับสูงขึ้นแน่นอน
แม้ว่าในแง่ของทฤษฎีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะมีผลกระทบกับการบริโภค หรือแรงซื้อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้าถามว่าหากเรามีเงินในช่วงทึ่อัตราดอกเบี้ยสูงเราจะซื้อหรือไม่ หรืออย่างอุตสาหกรรมรถยนต์เองก็ตาม ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น แต่ยอดขายรถยนต์ก็ไม่เคยตกลงมา
ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือรายได้ เงินในกระเป๋าของเรา อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นมา 0.25% เราอยากจะเก็บเงินมากขึ้นหรือไม่ หรืออยากจะรูดบัตรเครดิตมากขึ้นหรือไม่
"แน่นอนหน้าที่ของธนาคารกลางทุกแห่งคือรักษาค่าเงินเอาไว้ให้มั่น ให้เงิน 100 บาทในกระเป๋าที่เป็นอยู่ตอนนี้ใกล้เคียงกับ 100 บาท ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ถ้าเงินเฟ้อ 3% ค่าเงิน 100 บาทของเราก็เหลือ 97 บาท 1 ปีต่อจากนี้ มันก็ยังพอรับไหว กรอบของนโยบายธนาคารกลางต้องรักษาค่าเงินไว้ให้มั่นเพียงแต่ว่าจะรักษาไว้โดยการผูกไว้เท่าไหร่ หรือจะหรือว่าผูกไว้กับตระกล้าของสินค้าและบริการ ซึ่งก็คืออัตราเงินเฟ้อนั่นเอง"นางอัจนา กล่าว