ธปท.ยันความจำเป็นส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้น ห่วงผลกระทบเงินเฟ้อเร่งตัว

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday April 26, 2011 13:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. กล่าวในการสัมมนา"SMEs โอกาสและความเสี่ยงในยุคเอเชียภิวัฒน์"ว่า ธปท.จำเป็นต้องส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยเร่งตัวขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดความไร้ประสิทธิภาพในเสถียรภาพเศรษฐกิจ จึงเป็นการตอบคำถามว่าทำไมธปท.จึงต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยในยามที่สินค้าราคาแพง และยังยืนยันว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นขาขึ้น

นายผ่องเพ็ญ กล่าวว่า มีการพูดคุยกันมากในระหว่างการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ว่าอัตราดอกเบี้ยขณะนี้ยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย และยังสามารถกระตุ้นการลงทุนได้อยู่ ประกอบกับ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบ 1% ซึ่งไม่ต่างกับภูมิภาค ทั้งอินโดนีเซีย และมาเลเซียที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบ จึงมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นได้ ส่วนจีน แม้จะมีโอกาสลดดอกเบี้ย เพราะอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปถึง 10% แต่ก็คงต้องถ่วงดุลกันให้ดี

หากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ก็จะส่งผลกระทบต่อการออม เพราะผู้ออมจะเห็นว่าออมไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็จะมีการนำเงินออมออกมาใช้ และอีกด้านหนึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำก็จะทำให้มีการใช้จ่ายมากขึ้น มีการนำเงินไปซื้อของชิ้นใหญ่ขึ้น อาจจะนำไปสู่ปัญหาฟองสบู่และหนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากมาก ขณะที่ธนาคารเองก็เร่งปล่อยกู้ในปริมาณที่มากขึ้นเพราะมีมาร์จิ้นต่ำ อาจจะก่อให้เกิดปัญหา NPL ด้วย ดังนั้น เพื่อเป็นการหยุดโอกาสที่จะเกิดปัญหาฟองสบู่ ธปท.จึงจำเป็นต้องส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยเร่งตัวขึ้น

สำหรับทิศทางค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่าลงเล็กน้อย แต่เทียบกับช่วงหลังจากปี 40 ที่อ่อนค่าลงไปจาก 25-27 บาท/ดอลลาร์มาถึงขณะนี้ก็ถือว่าแข็งค่ามาก โดยค่าเงินบาทเช้านี้ที่ประมาณ 30 บาท/ดอลลาร์ สะท้อนภาพการเกินดุลการค้าและการเกินดุลภาคบริการเป็นบวกมาตลอด แต่มองว่าการเปลี่ยนแปลงค่าเงินมีนัยสำคัญน้อยลงเรื่อย ๆ ต่อผู้ส่งออก ดังนั้น ต้องเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า

อย่างไรตาม ปัจจุบันแม้ว่าค่าเงินบาทเทียบดอลลร์และเยนจะเห็นว่าแข็งค่าขึ้น แต่ถ้าเทียบสกุลอื่นยังอ่อนกว่า โดยหากค่าเงินบาทอ่อนลงมากสุดเมื่อเทียบยูโร จาก 40 บาท/ยูโร เป็น 43.5-43.7 บาท/ยูโร และจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาที่ 30 บาท/ดอลลาร์ก็ไม่ได้ทำให้รายได้การส่งออกของไทยในรูปเงินบาทลดลงมาก แต่กลับกันแนวโน้มส่งออกของโลกขยายตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจโลกที่เติบโต ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของผู้ส่งออก

นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า ธปท.จะเน้นการดูแลค่าเงินบาทจะไม่ให้เกิดความผันผวน แต่คงไม่สามารถฝืนหรือตรึงให้อยู่ในระดับใดระดับหนึ่งได้ แต่ก็จะรักษาระดับความสามารถการแข่งขันของคู่แข่งเอาไว้ เพื่อกระจายความเสี่ยง และจะผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อสร้างความสมดุลเงินไหลเข้าออกในประเทศ โดยมาตรการที่นำมาใช้ทำให้ช่วงไตรมาสแรกปีนี้เงินไหลออกไปครึ่งหนึ่งของปริมาณเงินที่ไหลออกไปทั้งปี 53 ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่จุดสมดุลมากขึ้น

"ยังไม่มีแนวคิดใช้อัตราแลกเปลี่ยนดูแลดอกเบี้ย ค่าเงินบาทขึ้น ๆ ลง ๆ ประมาณ 10 สต.ไม่ใช่เรื่องแปลก แบงก์ชาติมอนิเตอร์อยู่ทุกวัน ตามปกติการแข็งค่าของเงินบาทเทียบภูมิภาคอยู่ที่ 0.98% จีน 1.1% ถือว่ายังไม่มาก การดูแลเงินเฟ้อต้องดูแลหลายเรื่องใช้หลายเครื่องมือทุกช่องทาง ไม่ใช่จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยทุกครั้งในการประชุม กนง." นางผ่องเพ็ญ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ