บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2/2554 ว่า อาจใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ประมาณ 3% โดยมีปัจจัยฉุดจากการปรับลดกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมสำคัญที่ประสบปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนจากเหตุการณ์ภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น แต่คาดว่าการรณรงค์หาเสียงของพรรคการเมืองในช่วงก่อนการเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค.54 จะมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2/2554 ได้ประมาณ 0.9 - 1.4%
สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 แม้คาดว่าจะมีปัจจัยบวกมาจากการฟื้นกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมกลับคืนสู่ระดับปกติ แต่เศรษฐกิจอาจเผชิญปัจจัยเสี่ยงสำคัญหลายด้าน ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง, ความล่าช้าในการบังคับใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ที่อาจต้องเลื่อนไปเป็นต้นปี 55 (จากกรอบเวลาปกติจะต้องมีผลบังคับใช้ในเดือนต.ค.54) เนื่องจากต้องรอสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่เข้ามาเริ่มต้นพิจารณา ซึ่งจะมีผลให้ไตรมาสที่ 4/54 เกิดสูญญากาศของการใช้จ่ายงบลงทุน ขณะที่งบประจำยังสามารถใช้จ่ายโดยยึดตามกรอบวงเงินของปีงบประมาณก่อนได้
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันเงินเฟ้อที่จะเพิ่มสูงขึ้น โดยแม้ระยะสั้นอาจได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง แต่ราคาน้ำมันในระยะข้างหน้ามีโอกาสดีดตัวกลับมาสูงขึ้น รวมทั้งยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่จะหนุนเงินเฟ้อ เช่น การปรับขึ้นค่าจ้าง และแนวโน้มการทยอยยกเลิกมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศ
ขณะเดียวกัน ยังมีแรงกดดันจากทิศทางเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัว ภาคธุรกิจมีโอกาสที่จะเผชิญกับแนวโน้มต้นทุนที่เพิ่มขึ้นพร้อมกันในหลายด้าน ทั้งราคาวัตถุดิบ, ต้นทุนพลังงาน(ค่าไฟฟ้า, ราคาก๊าซ LPG และราคาน้ำมัน) ค่าจ้างแรงงาน, ต้นทุนอัตราดอกเบี้ย และต้นทุนค่าขนส่งที่อาจปรับขึ้นหากพ้นระยะมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ว่าจะมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 3.6% (กรอบคาดการณ์ที่ 3.0 - 4.0%) ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยประมาณ 108 ดอลลาร์/บาร์เรล และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 4.0%