สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) คาดว่า ปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (CO2) ของโลกทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2553 โดยเพิ่มขึ้นราว 5% เมื่อเทียบกับปี 2551 หลังจากที่ปริมาณการปลดปล่อยก๊าซดังกล่าวในปี 2552 ลดลง
รายงานของไออีเอ ระบุว่า ปริมาณการปลดปล่อยก๊าซ CO2 คาดว่า จะสูงขึ้นแตะสถิติ 30.6 กิกะตันในปี 2553 ในขณะที่คาดว่าราว 80% ของการปลดปล่อยมลภาวะของภาคพลังงานไม่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงในปี 2563
ทั้งนี้ สถิติการปล่อยก๊าซ CO2 สูงสุดของโลกอยู่ที่ 29.3 กิกะตันในปี 2551 ขณะที่ตัวเลขดังกล่าวได้ลดลงในปี 2552 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
ไออีเอคาดว่า ข้อมูลตัวเลขของปี 2553 และแนวโน้มการปล่อยมลภาวะในอนาคตจะเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อเป้าหมายในการควบคุมอุณหภูมิไม่ไห้สูงขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส ในการประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในเมืองแคนคูนเมื่อปี 2553
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการจำกัดช่วงขาขึ้นของอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นเพียง 2 องศาเซลเซียส หน่วยงานเฝ้าระวังของยูเอ็นระบุในข่าวประชาสัมพันธ์ว่า "การปล่อยมลภาวะที่เกี่ยวข้องกับภาคพลังงานในปี 2563 จะต้องไม่เกิน 32 กิกะตัน ซึ่งหมายความว่าในช่วงอีก 10 ปีข้างหน้า ปริมาณการปลดปล่อยมลภาวะที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดจะต้องน้อยกว่าสถิติปี 2552 และ 2553"
หากเปรียบเทียบระหว่างภูมิภาค ไออีเอคาดว่า ราว 40% ของการปล่อยก๊าซ CO2 ของโลกมาจากลุ่มประเทศสมาชิก OECD ในปี 2553 ในขณะที่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่นอกกลุ่ม OECD มีอัตราการปล่อยมลภาวะที่สูงกว่า เนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ หากเทียบกับรายได้ต่อหัวประชากร ประเทศสมาชิก OECD ปล่อยมลภาวะทั้งสิ้น 10 ตัน เมื่อเทียบกับจีน 5.8 ตัน และอินเดีย 1.5 ตัน สำนักข่าวซินหัวรายงาน