กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 54,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าคาดการณ์ ขณะที่อัตราว่างงานในเดือนพ.ค.ขยับขึ้นสู่ระดับ 9.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง
ทั้งนี้ แม้ตัวเลขจ้างงานปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน แต่ถือเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2553 และน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 150,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้น 232,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย.
โดยตัวเลขจ้างงานที่เพิ่มขึ้นน้อยเกินคาดในเดือนพ.ค.นั้นเนื่องมาจากภาคเอกชนสร้างงานใหม่เพียง 83,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2553 จากที่ปรับตัวขึ้น 251,000 ในเดือนเม.ย. ขณะที่ภาครัฐลดการจ้างงาน 29,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว และเป็นการลดลงเจ็ดเดือนติดต่อกัน
ส่วนอัตราว่างงานที่ปรับตัวขึ้นในเดือนพ.ค.นั้นสวนทางกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะลดลงแตะ 8.9% จากระดับ 9.0% ในเดือนเม.ย. หลังจากที่ลดลงติดต่อกันสี่เดือนก่อนหน้านั้น
ออสแตน กูลส์บี ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ระบุในแถลงการณ์ว่า “อัตราว่างงานอยู่ในระดับสูงอย่างที่ไม่สามารถยอมรับได้ และเศรษฐกิจจำเป็นต้องขยายตัวในอัตราที่เร็วขึ้นเป็นเพื่อกระตุ้นการสร้างงานใหม่ขึ้นมาแทนตำแหน่งงานที่สูญเสียไปในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ”
การปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของอัตราว่างงานและการชะลอตัวของการจ้างงานในภาคเอกชนอาจมีแนวโน้มว่าจะส่งผลกระทบต่อคณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งกำลังพยายามหาทางสร้างโอกาสดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สองในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปีหน้า ด้วยการสร้างงานและส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ
ปัจจุบัน จำนวนชาวอเมริกันที่ไม่มีงานทำมีอยู่ทั้งสิ้น 13.9 ล้านคน ซึ่งยังมากกว่าในช่วงก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกือบสองเท่า