นายปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หากสถานการณ์ทางการเมืองสงบเรียบร้อย โดยคาดว่าทั้งปี 54 ผลผลิตมวลรวมในประเทศ(GDP)จะเติบโตในระดับ 3.5-4.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 3.0-3.8% ขณะที่ค่าเงินบาทน่าจะผันผวนน้อยลงจากปีก่อน โดยประเมินว่าอยู่ในช่วง 29.50-30.50 บาท/ดอลลาร์
รองเลขาธิการ สภาพัฒน์ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 1/54 เติบโต 3% ขณะที่เศรษฐกิจโลกเติบโต 4.2% ภายใต้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 54 จะเติบโต 4%
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ภายใต้สมมติฐานที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง โดยคาดว่าการส่งออกยังเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อเนื่องจากปีก่อน ภาคท่องเที่ยวยังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้จะเพิ่มเป็น 18 ล้านคน จากปีก่อนอยู่ที่ 14 ล้านคน ภาคเกษตรกรรม ที่ราคาสินค้าเกษตรยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง
ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในช่วงครึ่งปีหลัง คือ การเมืองในประเทศ เพราะช่วงหาเสียงเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น แต่หลังการได้รัฐบาลใหม่แล้ว หากทุกฝ่ายยอมรับและไม่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวาย คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมาย แต่หากได้รัฐบาลใหม่ที่ประชาชนบางส่วนไม่ยอมรับ ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อได้ แต่ในระยะยาวโครงการหรือนโยบายต่างๆ อาจมีความล่าช้า เนื่องจากรัฐบาลต้องเร่งสร้างฐานเสียงให้มั่นคง เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายตามมา
แต่หากเกิดกรณีที่ประชาชนไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และออกมาชุมนุมทางการเมือง จะกระทบต่อทุกภาคธุรกิจ ทั้งการลงทุน บริโภค ท่องเที่ยว ดังนั้น สภาพัฒน์จะมีการทบทวนคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้อีกครั้งหลังการเลือกตั้ง
สำหรับอัตราเงินเฟ้อมองว่ายังปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ตามแนวโน้มราคาสินค้า คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ อยู่ที่ 3-3.8% ขณะที่ค่าเงินบาทในปีนี้จะมีความผันผวนน้อยกว่าปีก่อน โดยคาดว่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ที่ 29.50-30.50 บาท/ดอลลาร์