นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) มีมติอนุมัติให้ลดการเก็บเงินจากน้ำมันดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 60 สตางค์ต่อลิตร จากเดิมจัดเก็บอยู่ที่ 2.40 บาทต่อลิตร ลดลงเหลือ 1.80 บาทต่อลิตร เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นมาอยู่ที่ 105.91 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซลปรับขึ้นมาอยู่ที่ 124.11 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ค่าการตลาดผู้ค้าน้ำมันลดต่ำลงเหลือ 54 สตางค์ต่อลิตร
ก่อนหน้านี้ได้มีผู้ค้าบางราย ยกเว้น บมจ.ปตท.(PTT) และ บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP) ได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปอยู่ที่ 30.59 บาทต่อลิตร ซึ่งหลังลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ แล้วเชื่อว่าจะทำให้ผู้ค้าเหล่านั้นลดราคาน้ำมันลงเหลือ 29.99 บาทต่อลิตร เพราะค่าการตลาดน้ำมันของผู้ค้าจะกลับขึ้นไปอยู่ที่ 1.14 บาทต่อลิตร เฉลี่ย 5 วันอยู่ที่ 1.20 บาทต่อลิตร
ทั้งนี้ หลังลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ลงจะทำให้กระแสเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันฯ ลดเหลือ 49 ล้านบาทต่อวัน จากเดิมที่ไหลเข้า 82 ล้านบาทต่อวัน ส่วนสถานะของกองทุนน้ำมันฯ ขณะนี้ติดลบอยู่ประมาณ 1,132 ล้านบาท
สำหรับการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) ภาคอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในประกาศคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว แต่ผลในการปรับขึ้นราคาแอลพีจีในไตรมาสนี้ 3 บาทต่อกิโลกรัมนั้นต้องรอให้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อนแล้วจึงมีผลในวันถัดไป
ขณะเดียวกันยังไม่มีการจัดเก็บเงินเพิ่มสำหรับ LPG ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซรามิกส์ แก้ว และกระจก ตามที่ได้ทำหนังสือมาถึงกระทรวงพลังงานเพื่อขอให้ชะลอการเพิ่มเรียกเก็บเงินจาก LPG ภาคอุตสาหกรรมไปก่อนเพื่อให้อุตสาหกรรมปรับตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงพลังงานไม่สามารถดำเนินการตามข้อเรียกร้องได้ เพราะต้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ไปก่อน แล้วรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป