นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารแสตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "หุ้นไทยครึ่งปีหลัง ซื้อตาม Fundamental vs ซื้อตาม Fund flow" ว่า ขณะนี้ยังมีเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 7 หมื่นล้านบาท แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกมีความเปราะบาง เห็นได้จากช่วง 4 เดือนแรกของปี 54 ที่มีการทยอยลดสัดส่วนการลงทุน แต่ยังไม่ได้ถอนการลงทุน ดังนั้นหากมีปัจจัยที่แย่ลง อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติลดสัดส่วนการลงทุนลงอีก ทั้งนี้ในส่วนของเศรษฐกิจไทย มองปัจจัยเสี่ยงในช่วงครึ่งปีหลังจะมาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก จากวิกฤติหนี้สินยุโรป ซึ่งปัญหาของประเทศกรีซ หลายประเทศคงต้องให้ความช่วยเหลือ แต่อาจมีประเทศอื่นๆอีก ดังนั้นนักลงทุนต้องจับตามและติดตามการตีความจากบริษัทจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือว่าจะเกิด Technical defalts ซึ่งตลาดอาจมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการเงินของภาครัฐที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการรัดเข็มขัดด้านงบประมาณในประเทศอื่นๆ เช่น โปรตุเกส ไอซ์แลนด์ ที่อาจต้องมีการให้ความช่วยเหลือรอบ 2
นอกจากนี้เศรษฐกิจจีน เริ่มเห็นผลของการใช้มาตรการลดความร้อนแรง ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของจีนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัว และส่งผลต่อการส่งออกของไทย
ส่วนปัญหาเงินเฟ้อ ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับการดูแลราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ ซึ่งหากมีการยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันคงช่วยลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อได้ ขณะที่ปีหน้า มองว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวทำให้ราคาน้ำมันเฉลี่ยในตลาดโลกคงทรงตัวใกล้เคียงปีนี้ ซึ่งทำให้แรงกดดันต่อเงินเฟ้อผ่อนคลายลง
อย่างไรก็ตามปี 54 มองว่าเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ในอัตรา 4.4% โดยที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3.7% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงปรับขึ้นอีก 2 ครั้ง จนถึงสิ้นปี อยู่ที่ 3.5%
ด้านนางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้จากการบริโภค การลงทุนในประเทศ แต่ยังมีความเสี่ยงจากการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อ ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยมองว่ายังมีความน่าลงทุนในภูมิภาคเอเซีย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงน้อย พื้นฐานเศรษฐกิจยังมีระดับหนี้สาธารณะต่ำกว่า 50%ของจีดีพี และหากไทยยังไร้ตำหนิ จากปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง จะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ต้องติดตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ว่าจะมีส่วนผลักดันการเติบโตเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/54 น่าจะเติบโตได้ต่อเนื่องจากแรงส่งของเงินสะพัดจากการเลือกตั้ง แต่ไตรมาส 4/54 ต้องรอติดตามนโยบายของรัฐบาล ขณะที่ภายนอกหวังเศรษฐกิจสหรัฐ จะฟื้นตัวในไตรมาส 3/54 และยังต้องติดตามปัญหาหนี้สินในยุโรป ซึ่งปีนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ 4.5-5% เงินเฟ้ออยู่ที่ 3.5-3.8% และดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,096 จุด หรือดีที่สุดที่ 1,210 จุด ภายใต้สมมติฐานที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวตามที่คาด ปัญหายุโรปไม่ลุกลาม การเมืองไม่วุ่นวาย
"ถ้าน้ำหนักปัจจัยภายในดี แต่ภายนอกยังมีความเสี่ยง ตลาดก็ยังผันผวน fund flow กัยังเข้าๆออกๆ แต่มีความหวังว่ามีรัฐบาลใหม่จะมีทีมที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ทำให้ประเทศเติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง" นางสาวอาภาภรณ์ กล่าวด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธการลงทุนบุคคล สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า มองตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งนักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,200 จุดได้ โดยหุ้นที่น่าลงทุน เป็นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนภาครัฐ เช่นรถไฟฟ้า 10 สาย หุ้นกลุ่มบริโภค ได้ประโยชน์จากนโยบายเพิ่มรายได้ กลุ่มไอซีที จากการให้บริการโทรศัพท์ระบบ 3G และหุ้นกลุ่มธนาคาร
"ปัจจัยการเมืองหลังการเลือกตั้งตลาดได้ซึมซับไปล้ว ตอนนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องรอดู ดังนั้นหากดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ 1,080-1,100 จุด ก็มีเหตุผลรองรับได้" นายสุกิจ กล่าวสำหรับกลยุทธการลงทุนให้เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการ แต่ให้ติดตามปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาของประเทศกรีซ เศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซน ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นช่วงเฝ้าระวัง เนื่องจากประเทศเจ้าหนี้พยายามดูแลไม่ให้ปัญหาลุกลามบานปลายได้