ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาด กนง.13 ก.ค.ขึ้นดบ.0.25% ดูแลความเสี่ยงเงินเฟ้อ

ข่าวเศรษฐกิจ Monday July 11, 2011 12:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย(กนง.)ในวันที่ 13 ก.ค.นี้จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีก 0.25% จาก 3.00% มาที่ 3.25% ซึ่งเป็นการประชุมรอบที่ 5 ของปีนี้ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ภายใต้สถานการณ์ที่ความเสี่ยงจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยหลักสำคัญ

ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีแรงส่งของการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากการทยอยฟื้นคืนสู่ระดับปกติของกำลังการผลิตในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวโยงกับซัพพลายเชนในญี่ปุ่น และการบริโภคที่น่าจะเติบโตขึ้น หากการเมืองไทยมีเสถียรภาพ อันจะสนับสนุนให้ กนง.ยังพอมีช่องว่างให้สามารถปรับอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ระดับปกติได้อย่างต่อเนื่อง

แรงกดดันเงินเฟ้อของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 54 ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น เป็นผลจากปัจจัยทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยแรงส่งการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นหลังจากผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติในญี่ปุ่นคลี่คลายลงและสถานการณ์การเมืองในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น คงจะทำให้การส่งผ่านภาระต้นทุนที่สูงขึ้นของผู้ผลิตในหลายๆ ภาคส่วนมายังผู้บริโภคยังน่าจะสามารถทำได้โดยไม่ลำบากนัก

ขณะเดียวกันราคาในหมวดสินค้าอาหารและพลังงานที่ยังมีแนวโน้มยืนในระดับสูงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งจากสภาพอากาศที่แปรปรวนทั่วโลก และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคของชนชั้นกลางที่มีฐานะดีขึ้นในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ประกอบกับผลของฐานเปรียบเทียบ คงจะทำให้ระดับราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อในประเทศยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่คาดว่ายังมีโอกาสจะขยับเข้าสู่ 3.0% ซึ่งเป็นขอบบนของเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/54 หลังจากที่ปรับขึ้นมาที่ 2.55% YoY ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

นอกจากนี้ หากพิจารณาระดับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริง (อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนเฉลี่ยของ 4 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ หักด้วยค่าคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 12 เดือนข้างหน้า) ที่รายงานโดยธปท.ล่าสุดในเดือน พ.ค.54 ที่ยังมีค่าติดลบ 1.83% และอาจยังมีแนวโน้มมีค่าติดลบต่อเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะยังคงเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งตามความคาดหวังต่อนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ในหลายๆ มาตรการที่มีความเกี่ยวพันกับประเด็นเงินเฟ้อ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศมาที่ 300 บาทต่อวัน (จากค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศที่ 159-221 บาทต่อวัน ณ ปัจจุบัน ขณะที่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่ที่ 215 บาทต่อวัน หากมีการปรับขึ้นเป็น 300 บาท จะคิดเป็นอัตราเพิ่มถึงเกือบ 40%)

การขึ้นเงินเดือนข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงการยกเว้นการเก็บเงินนำส่งสมทบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล ที่อาจผลักดันให้การคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะข้างหน้าของภาคส่วนต่างๆ ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าการดำเนินนโยบายข้างต้นอาจจะยังไม่เกิดขึ้นและปรากฏผลที่ชัดเจนนักในเวลาอันใกล้นี้ก็ตาม

"จากการประเมินภาพแนวโน้มเงินเฟ้อและการให้ความสำคัญกับระดับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงที่ยังมีค่าติดลบ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่า กนง.จะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จาก 3.00% มาที่ 3.25% ในการประชุมวันที่ 13 กรกฎาคมนี้" ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ

อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของสถาบันการเงินนั้น คาดว่าจะทยอยปรับขึ้นเช่นเดียวกัน โดยที่ขนาดและจังหวะเวลาของการปรับขึ้นของแต่ละสถาบันการเงิน จะยังคงขึ้นอยู่กับมุมมองต่อแนวโน้มการขยายสินเชื่อ และการแข่งขันของผู้เล่นทั้งในตลาดสินเชื่อและผลิตภัณฑ์เงินออม เป็นหลัก หลังจากในช่วงที่ผ่านมาสถาบันการเงินปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามดอกเบี้ยนโยบายด้วยขนาดที่ใกล้เคียงกันและจังหวะเวลาที่ไม่ห่างกันนัก เป็นผลจากการดำเนินธุรกิจหลักอย่างสินเชื่อที่เติบโตในเกณฑ์ดี ภาวะการแข่งขันที่เข้มข้น ตลอดจนการเตรียมการรับมือกับการทยอยลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากของสถาบันคุ้มครองเงินฝากที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 ส.ค.54 นี้

ทั้งนี้ คงจะต้องติดตามการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยที่มีแนวโน้มจะมุ่งเน้นเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงมีหลายโครงการที่มีความเกี่ยวพันกับระดับราคาสินค้าและเงินเฟ้อในประเทศ ซึ่งในที่สุดแล้วอาจผลักดันให้การคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะข้างหน้าของภาคส่วนต่างๆ ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมไปถึงอาจจะเพิ่มความกังวลต่อประเด็นด้านเสถียรภาพและแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะกลาง

ขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงของเศรษฐกิจโลก นำโดยสหรัฐฯ และจีน อาจมีส่วนช่วยบรรเทาแรงกดดันเงินเฟ้อหากระดับราคาอาหารและพลังงานไม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก อนึ่ง ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศดังกล่าว คงจะเป็นความท้าทายสำหรับการเดินหน้านโยบายการเงินของ กนง.ในการประชุมรอบถัดไปในวันที่ 24 ส.ค.54 อย่างยากจะหลีกเลี่ยง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ