นายประสาร ไตรรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากในช่วงนี้เป็นผลจากนักลงทุนในประเทศเทขายทองคำแล้วนำเงินมาแลกเป็นเงินบาท เนื่องจากราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นทะลุ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์เร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งการซื้อขายทองคำในช่วงนี้มีผลทำให้เงินบาทแกว่งตัวในช่วง 0.10-0.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากรณีดังกล่าวจะไม่กระทบกับภาพรวมเสถียรภาพการเงินระหว่างประเทศของไทย เพราะยังมีระดับทุนสำรองระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง
แต่สำหรับคำแนะนำให้นำเงินทุนสำรองฯ ที่มีอยู่ในระดับสูงไปลงทุนในธุรกิจคลังน้ำมันนั้น นายประสาร กล่าวว่า กฎหมายของธปท.ไม่ได้เปิดโอกาสให้ทำได้ และการนำทุนสำรองไปลงทุนในสินทรัพย์ใดต้องคำนึงถึงความคล่องตัวในการแปลงสินทรัพย์นั้นเป็นเงินบาท หากจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ
นายประสาร ยังเชื่อว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 55 ยังขยายตัวต่อเนื่องจากปีนี้ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศอยู่ในระดับที่ดี การใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจควรจะหมดไป เนื่องจากการกระตุ้นอุปสงค์ทำให้เกิดผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ
ดังนั้น รัฐบาลชุดใหม่ควรจะลำดับความสำคัญของงานที่จะเร่งรัดเป็นนโยบายสำคัญ โดยควรจะเน้นรายจ่ายที่จะเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ และทยอยดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบรุนแรงต่ออัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งให้เวลาภาคธุรกิจและเอกชนปรับตัว
"มาตรการต่างๆ ควรมุ่งเป้าหมายเพื่อให้การใช้จ่ายเกิดประสิทธิภาสพสูงสุด และจำเป็นต้องหามาตรการลดรายจ่ายอื่น ๆ และเพิ่มรายได้ เช่น ลดค่าลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ปรับโครงสร้างและขยายฐานภาษี เป็นต้น ควรยึดกรอบวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด หากมีการกู้ยืมเงินควรนำมาใช้เพื่อโครงการลงทุน ไม่ใช่กระตุ้นการบริโภค และระมัดระวังผลกระทบทางลบของมาตรการต่อ Incentive และ Productivity"นายประสาร กล่าว