น.ส.นฤภัทร อมรโฆษิต รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(สกพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กองทุนพัฒนาไฟฟ้าภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ได้กำหนดพื้นที่ประกาศและประเภทการบริหารเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าในเขตพื้นที่ประกาศเรียบร้อยแล้ว โดยแยกเป็นกองทุนขนาดใหญ่ หรือประเภท ก จำนวน 10 กองทุน และกองทุนขนาดกลางหรือประเภท ข จำนวน 28 กองทุน โดยมี สกพ.ทำหน้าที่บริหารจัดการเงินกองทุนฯ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจนและโปร่งใส ซึ่งกำหนดให้มีการสรรหาคณะกรรมการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า(คพรฟ.) จำนวน 15-35 คน ประกอบด้วยผู้แทนภาคประชาชนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ และผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 1 ใน 3
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ใดจะได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ นั้นจะใช้หลักการพิจารณาจากแผนการผลิตไฟฟ้าของแต่ละโรงไฟฟ้าจากศูนย์กลางโรงไฟฟ้าครอบคลุมถึงตำบลโดยรอบโรงไฟฟ้าที่อยู่ในรัศมีของพื้นที่ประกาศ โดยกองทุนประเภท ก จะมีรัศมี 5 กิโลเมตร ปริมาณการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 5,000 ล้านหน่วยต่อปี จำนวนเงินที่จะได้รับมากกว่า 50 ล้านบาท กองทุนประเภท ข รัศมี 3 กิโลเมตร ปริมาณการผลิตไฟฟ้าไม่เกิน 5,000 ล้านหน่วยต่อปี จำนวนเงินที่จะได้รับ 1 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองประเภทนี้จะอยู่ภายใต้การบริหารกองทุนของ คพรฟ. ส่วนกองทุนประเภท ค จะมีรัศมี 1 กิโลเมตร ปริมาณการผลิตไฟฟ้าไม่เกิน 100 ล้านหน่วยต่อปี จำนวนเงินที่จะได้รับน้อยกว่า 1 ล้านบาทนั้นเป็นหน้าที่ของผู้แทน อบต. หรือเทศบาลในพื้นที่เป็นผู้อนุมัติโครงการชุมชนที่ได้ผ่านการประชาคมระดับตำบลแล้ว
น.ส.นฤภัทร กล่าวว่า ในเดือนสิงหาคมนี้ สกพ.จะได้ประสานงานไปยังกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอความร่วมมือจากนายอำเภอในพื้นที่ต่างๆ ที่มีกองทุนขนาดใหญ่และขนาดกลางเพื่อจัดเวทีประชาคมหมู่บ้านในการสรรหาตัวแทนจากภาคประชาชนจากหมู่บ้านและชุมชนต่างๆ เพื่อเข้ามาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า โดยจะมีการประกาศรับสมัครผู้มีคุณสมบัติเข้ามาเป็นคณะกรรมการฯ ของกองทุนฯ และการคัดเลือกผู้แทนในเวทีประชาคมหมู่บ้าน
สำหรับที่มาของเงินของกองทุนพัฒนาไฟฟ้าที่จะจัดสรรให้กองทุนในพื้นที่ต่างๆ นั้น กกพ. กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้านำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยจำแนกตามชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าในอัตราต่างๆ คือ 1) อัตราการส่งเงินเข้ากองทุนฯ 1 สตางค์ต่อหน่วยสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ ก๊าซชีวภาพ ชีวมวล พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ กากและเศษวัสดุเหลือใช้ ขยะชุมชนและอื่นๆ 2) อัตราการส่งเงินเข้ากองทุน 1.50 สตางค์ต่อหน่วยสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทน้ำมันเตา และน้ำมันดีเซล 3) อัตราการส่งเงินเข้ากองทุน 2 สตางค์ต่อหน่วยสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหินหรือลิกไนต์ นอกจากนี้โรงไฟฟ้าที่ได้รับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจะต้องนำเงินส่งเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าจำนวน 50,000 บาท/เมกะวัตต์/ปีด้วย
อนึ่ง เป้าหมายของการจัดตั้งกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อเป็นเงินทุนในการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาและฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าในด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า การพัฒนาศักยภาพชุมชนการสร้างงานและอาชีพเพื่อสร้างความเจริญให้กับชุมชนเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยเน้นการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นหัวใจสำคัญ