การที่รัฐบาลญี่ปุ่น และธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ได้เข้าแทรกแซงตลาดเมื่อวานนี้ ถือเป็นการแสดงออกอย่างช้ดเจนว่าทั้งรัฐบาลและบีโอเจมีความกังวลว่า เศรษฐกิจของประเทศอาจจะล่มสลาย หากไม่มีการใช้มาตรการกอบกู้
ญี่ปุ่นซึ่งมีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกได้รับแรงกดดันอยู่ก่อนแล้วเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิครั้งใหญ่ในเดือนมี.ค. ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการส่งออก และยังเป็นเหตุให้เกิดวิกฤตขึ้นที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วย
การแทรกแซงตลาด ซึ่งยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าทางการญี่ปุ่นใช้เงินมูลค่าเท่าใดนั้น สามารถสกัดเงินเยนที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ แต่นักวิเคราะห์บางกลุ่มมองว่าการอ่อนค่าของเงินเยนจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น และทางการญี่ปุ่นอาจจะต้องใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อพยุงเศรษฐกิจให้ยังสามารถฟื้นตัวต่อไปได้ หลังจากเกิดหายนะครั้งใหญ่
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การแทรกแซงตลาดครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกที่ญี่ปุ่นมีต่อวิกฤต โดยโอซามุ ทากาชิม่า หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนด้านปริวรรตเงินตราจากซิตี้แบงก์ เจแปน กล่าวว่า "รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจเรื่องนี้ค่อนข้างรวดเร็ว" ขณะที่มาซาดาชิ นักเศรษฐศาสต์จากเจพีมอร์แกน ซิเคียวริตี้ส์กล่าวว่า "การแทรกแซงตลาดครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับวิกฤตที่สาหัสมาก"
แต่เมื่อกล่าวถึงผลในระยะยาวของการแทรกแซงตลาด นักวิเคราะห์หลายคนไม่ค่อยมั่นใจนัก เนื่องจากญี่ปุ่นแทรกแซงตลาดเพียงฝ่ายเดียว ผิดกับเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งญี่ปุ่นและประเทศอุตสาหกรรมในกลุ่ม G-7 ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี ได้ร่วมกันแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราเพื่อสกัดการแข็งค่าของเงินเยน
การแทรกแซงตลาดร่วมกันโดยกลุ่ม G-7 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปีนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของกลุ่ม G-7 ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้าย ซึ่งในเวลานั้น เงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
แต่การที่ญี่ปุ่นแทรกแซงตลาดครั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ได้สร้างความข้องใจให้กับรัฐบาลสหรัฐและยุโรป เพราะมองว่า การดำเนินการดังกล่าวของญี่ปุ่นอาจทำให้สหรัฐและยุโรปประสบกับความยากลำบากในการพยายามกระตุ้นให้จีนปล่อยเงินหยวนเคลื่อนไหวอย่างเสรีมากขึ้น
การแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราเมื่อวานนี้มีขึ้นหลังจากมีเสียงเรียกร้องมากขึ้นจากกลุ่มผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์และเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งระบุว่า เงินเยนที่แข็งค่าได้สร้างความเสียหายต่อประสิทธิภาพด้านการแข็งขันทั่วโลกของบริษัท
ท่ามกลางสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐนั้น มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมในการประชุมสัปดาห์หน้า ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายดอลลาร์และหนุนเงินเยนให้แข็งค่าขึ้นอีก
"เราจำเป็นต้องสกัดนักเก็งกำไร" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลังญี่ปุ่นกล่าว ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่า ญี่ปุ่นอาจจะเข้าแทรกแซงตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าญี่ปุ่นจะแทรกแซงตลาดไปได้ไกลแค่ไหนโดยปราศจากการสนับสนุนจากสมาชิกกลุ่ม G-7
บทวิเคราะห์โดย ชินยะ อาจิม่า จากสำนักข่าวเกียวโด