สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งเมื่อคืนนี้ (9 ส.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอีกจนถึงกลางปี 2556 ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยกระตุ้นแรงซื้อเข้าสู่ตลาดทองคำอย่างล้นหลาม เนื่องจากการตรึงอัตราดอกเบี้ยต่ำจะทำให้ต้นทุนการถือครองทองคำปรับตัวลดลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 29.80 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 1,743.00 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 1.497 ดอลลาร์ หรือ 3.8% ปิดที่ 37.883 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 0.85 เซนต์ ปิดที่ 3.97 ดอลลาร์/ปอนด์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 6.05 ดอลลาร์ ปิดที่ 734.55 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 32.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,756.40 ดอลลาร์/ออนซ์
ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก หลังจากเฟดยืนยันว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอีกจนถึงกลางปี 2556 พร้อมกับแสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งนี้ นักลงทุนขานรับแถลงการณ์ประชุมครั้งล่าสุดของเฟด เนื่องจากการตรึงอัตราดอกเบี้ยต่ำจะทำให้ต้นทุนการถือครองทองคำปรับตัวลดลง
นอกเหนือจากแถลงการณ์ของเฟดแล้ว ตลาดทองคำยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินที่เป็นคู่ค้าหลักของสหรัฐ ร่วงลง 1% เมื่อวานนี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 (QE3) หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ
นักวิเคราะห์ในตลาดคาดว่า ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะชะงักงันของเศรษฐกิจมหภาคและความเป็นไปได้ที่ว่าสหรัฐอาจจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอีกนั้น จะยิ่งทำให้ความต้องการถือครองทองคำมีมากขึ้น และจะช่วยหนุนราคาทองคำทะยานขึ้นอีก
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เจพีมอร์แกนและสถาบันการเงินรายอื่นๆ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำในช่วงหลายวันที่ผ่านมา โดยคาดว่าราคาทองคำจะพุ่งขึ้นอีก 39% ในปีนี้ และคาดว่าราคาจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 2,500 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ของเอชเอสบีซีคาดว่า ราคาทองคำจะพุ่งขึ้นต่อไปอีก จนกว่าความเสี่ยงเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในสหรัฐและประเทศอื่นๆจะลดน้อยลง