รายงาน กนง.ระบุเงินเฟ้ออาจชะลอช่วงปลายปี แต่ยังเสี่ยงเร่งตัวระยะต่อไป

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday September 7, 2011 10:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 54 โดยระบุว่า กนง.ยังเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงติดลบ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงถือเป็นการส่งสัญญาณนโยบายที่ต่อเนื่องเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ระดับสมดุล และเอื้อให้การปรับตัวของภาคธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น

กนง.จึงมีมติ 5 ต่อ 2 ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 3.25 เป็นร้อยละ 3.50 ต่อปี เพื่อดูแลแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะต่อไป อย่างไรก็ดี กนง.จะติดตามและประเมินภาวะเศรษฐกิจโลกและแนวนโยบายการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป และพร้อมที่จะดำเนินนโยบายที่เหมาะสม เพื่อดูแลให้เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตได้ต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพ

ทั้งนี้ กรรมการฯให้น้ำหนักความเสี่ยงแตกต่างกัน กรรมการฯ 2 ท่าน ประเมินว่ามีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยและส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทย จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ไว้ก่อน เพื่อประเมินความรุนแรงและความยืดเยื้อของการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศหลักให้ชัดเจนขึ้น เนื่องจากแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐในการรองรับความเสี่ยงในประเทศเหล่านี้มีจำกัด

นอกจากนี้ แม้ความเสี่ยงด้านแรงกดดันเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับสูง แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐต้องใช้เวลา โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่ยังเบิกจ่ายได้ไม่มากนัก จึงอาจไม่เห็นผลกระทบต่อแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะสั้นๆ หากมีความชัดเจนขึ้นในการประชุมครั้งถัดไปว่าเศรษฐกิจโลกไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยและเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ดี ก็ยังสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งต่อไปได้

ส่วนกรรมการฯ อีก 5 ท่านเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี โดยประเมินว่าแม้ความเสี่ยงด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะเพิ่มขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลัก แต่มีปัจจัยต่างๆ ที่ช่วยไม่ให้ประเทศเหล่านี้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงเช่นในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา รวมทั้งเศรษฐกิจเอเชียและไทยที่ยังคงมีการค้าภายในภูมิภาคและอุปสงค์ในประเทศเป็นแรงส่งสนับสนุนให้ขยายตัวได้ต่อไป

ขณะที่ความเสี่ยงด้านแรงกดดันเงินเฟ้อของไทยเพิ่มขึ้นชัดเจน และอาจมีต่อเนื่องไปในระยะข้างหน้า โดยการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายภาครัฐอาจช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักได้ แต่ก็อาจส่งผลข้างเคียงให้แรงกดดันด้านราคาและการคาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ดังนั้น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้เพื่อดูแลความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อในระยะต่อไปจึงมีความจำเป็น เพราะการส่งผ่านผลของดอกเบี้ยไปสู่เงินเฟ้อต้องใช้เวลา

กนง.เห็นว่า ขณะนี้ตลาดการเงินผันผวนมากขึ้นจากปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ และปัญหาเพดานหนี้สาธารณะ ส่งผลให้เกิดภาวะ Risk aversion และเงินบาทปรับอ่อนค่าลงหลังจากที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเงินทุนไหลเข้าในช่วงเดือน ก.ค. ในระยะต่อไปคาดว่าค่าเงินบาทจะกลับมาโน้มแข็งขึ้นจากการกลับมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และพันธบัตรรัฐบาลหากสถานการณ์ในตลาดการเงินโลกมีความชัดเจนขึ้น

ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งของภูมิภาคเอเชียและไทย ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ส.ค.อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะปานกลางถึงระยะยาวของไทยปรับลดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และการปรับตัวของนักลงทุนต่างชาติ โดยเพิ่มการลงทุนในพันธบัตรระยะยาวมากขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยตลาดเงินและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น ปรับสูงขึ้นตามการคาดการณ์การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย สอดคล้องกับผลการสำรวจความเห็นของตลาดที่ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมครั้งนี้

การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำนานกว่าที่คาด ทำให้ตลาดประเมินว่าโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีมากขึ้น แต่ยังคงมีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวและลดความเสี่ยงดังกล่าว ได้แก่ (1) กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง รวมถึงการฟื้นตัวของการผลิตยานยนต์หลังปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนคลี่คลาย (2) ฐานะการเงินของภาคธุรกิจและสถาบันการเงินอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าในช่วงวิกฤตปี 51 (3) การส่งออกที่ยังขยายตัวได้ และ (4) นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง

ส่วนผลกระทบจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่ผ่านมามีจำกัดแต่อาจจะกระทบต่อต้นทุนทางการเงินในภาคเอกชน (risk premium) ได้ในช่วงต่อไป เศรษฐกิจของประเทศหลักในกลุ่มยูโร ขยายตัวต่ำกว่าที่คาด จากเงินเฟ้อที่เร่งขึ้น และการสิ้นสุดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในบางประเทศ และมีแนวโน้มแผ่วลงจากมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลัง (fiscal consolidation)

อย่างไรก็ดี การส่งออกและภาวการณ์จ้างงานที่ยังเข้มแข็งในเศรษฐกิจของประเทศหลัก โดยเฉพาะเยอรมนีจะเป็นแรงส่งทางเศรษฐกิจให้กลุ่มยูโรได้ในระยะต่อไป เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการใช้จ่ายเพื่อบูรณะประเทศ แม้จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียเริ่มเห็นสัญญาณชะลอลงบ้าง โดยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการส่งออกไปยังประเทศอุตสาหกรรมหลัก แต่การค้าในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะการส่งออกไปยังจีนขยายตัวดี และอุปสงค์ในประเทศยังเติบโต สะท้อนจากยอดการค้าปลีกและสินเชื่อของหลายประเทศในภูมิภาคยังขยายตัวในระดับสูง รวมทั้งนโยบายทางการคลังและการเงินที่ยังสามารถผ่อนคลายลงได้ในอนาคตจะช่วยรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ดีหลายประเทศในเอเชียรวมทั้งไทยยังคงเผชิญแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง

เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 54 ขยายตัวได้จากปัจจัยสนับสนุนด้านอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ แม้ในไตรมาส 2/54 จะขยายตัวในอัตราชะลอลงจากปัญหาภัยพิบัติในญี่ปุ่น ทั้งนี้แรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปียังคงมาจากอุปสงค์ในประเทศ และการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่จะกลับมาเร่งตัวขึ้นหลังจากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนยานยนต์คลี่คลายลง โดยการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน คาดว่ายังขยายตัวได้ตามรายได้ทั้งในและนอกภาคเกษตรที่อยู่ในเกณฑ์ดี ความเชื่อมั่นที่ปรับดีขึ้นและสินเชื่อที่ขยายตัวสูง รวมทั้งแนวโน้มการลงทุนในกลุ่มยานยนต์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ยังดีอยู่

กนง.มีความกังวลต่อผลกระทบในภาคการส่งออกจากการชะลอลงของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลัก แต่คาดว่ายังมีปัจจัยบวกที่จะสามารถบรรเทาผลกระทบต่อการส่งออกของไทยลงได้ส่วนหนึ่ง จากการปรับตัวของผู้ส่งออกในการขยายตลาดส่งออกไปยังกลุ่มเอเชียและประเทศตลาดเกิดใหม่ได้มากขึ้น การส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าที่ใช้ทรัพยากรในประเทศไปยังประเทศอุตสาหกรรมหลักที่ยังคงขยายตัวได้ และ การบริโภคและการลงทุนของภาครัฐที่กระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง

และ กนง.ให้ติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงจากอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่ง โดยการส่งผ่านต้นทุนในหมวดอาหารสำเร็จรูปอย่างต่อเนื่องทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทยอยปรับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ประเมินว่าแม้อัตราเงินเฟ้อจะลดลงบ้างในช่วงปลายปีจากการปรับลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน แต่ยังมีความเสี่ยงที่จะเร่งขึ้นในระยะต่อไป จากอุปสงค์ในประเทศที่ยังขยายตัวต่อเนื่องใกล้ศักยภาพ การคาดการณ์เงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น การปรับค่าจ้างขั้นต่ำและการรับจำนำข้าว อาจส่งผลให้เงินเฟ้อคาดการณ์เร่งขึ้นได้อีก

ดังนั้น กนง.จึงเห็นพ้องกันถึงเป้าหมายการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับปกติที่ควรดำเนินต่อไป เพื่อดูแลแรงกดดันเงินเฟ้อและสร้างสมดุลในระบบเศรษฐกิจการเงิน และมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ