นายสุวรรณ วลัยเสถียร ประธานกิตติมศักดิ์ บลจ.วรรณ และประธานชมรมคนออมเงิน กล่าวในงานเสวนา "จุดเปลี่ยนตลาดเงิน ตลาดทุน และตลาดทองประเทศไทย"ว่า ในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้นักลงทุนควรที่จะถือเงินสดเพื่อรอจังหวะเข้าไปลงทุนในช่วงที่เหมาะสม และยังไม่ควรไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะหุ้นที่ปัจจุบันตลาดค่อนข้างผันผวนเป็นอย่างมาก
อย่างวันนี้ดัชนีฯก็ปรับตัวลงแรง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯที่เมื่อวันศุกร์ปรับตัวลงไป 300 กว่าจุด ปัจจัยหลักมาจากความกังวลวิกฤตเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐฯและยุโรป กรณีของสหรัฐฯแม้รัฐบาลจะแผนจัดหาเม็ดเงินกว่า 4.77 แสนเหรียญสหรัฐฯ มาใช้กระตุ้นการจ้างงาน แต่ยังต้องรอการอนุมัติจากสภาคองเกรสก่อน
อย่างไรก็ตาม มองว่าในที่สุดแล้วสหรัฐจะผ่านพ้นวิกฤตไปได้ แต่คงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร เนื่องจากสหรัฐเป็นประเทศขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูง และต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกัน
ขณะที่วิกฤตหนี้ในยุโรป ส่วนตัวมองว่าเป็นปัญหาที่ค่อนข้างรุนแรง และยังไม่เห็นแนวทางในการแก้ปัญหา โดยปัจจุบันกำลังลุกลามไปในหลายประเทศ อย่างเช่น กรีซ ขณะนี้หลายฝ่ายก็กังวลว่าจะมีการผิดนัดชำระหนี้และเผชิญกับวิกฤตหนี้รอบใหม่ เนื่องจากรีซไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรการลัดเข็มขัดของทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)และสหภาพยุโรปได้อย่างเคร่งครัด เนื่องจากประชาชนจำนวนมากไม่เห้นด้วย ซึ่งทำให้ทางไอเอ็มเอฟและสหภาพยุโรปไม่มั่นใจที่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือ
"ในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้ แนะนำให้นักลงทุนถือเงินสดก่อนปลอดภัยที่สุด เพราะเงินสดถือเป็นสินทรัพย์ตัวเดียวที่ไม่ด้อยค่า อย่างเฮดจ์ฟันด์หลายแหล่งตอนนี้ก็ถือเงินสดกว่า 30% ส่วนพันธบัตรรัฐบาลดอกเบี้ยก็ต่ำ ตลาดหุ้นก็ตกกันทั่วโลก คนมีเงินตอนนี้ก็หาช่องทางลงทุนยาก สถานการณ์ตอนนี้ถือว่าร้ายแรงไม่แพ้ตอนวิกฤตเลห์แมนบราเธอร์ส หรืออาจรุนแรงกว่าก็ได้ ก็อยากให้นักลงทุนรอดูไปอีก 2-3 สัปดาห์ รอให้ฝุ่นตลบก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่"นายสุวรรณ กล่าวสำหรับการลงทุนในทองคำขณะนี้ราคาก็ถือว่ายังผันผวน โดยในช่วงปลายเดือนส.ค.และสัปดาห์ก่อนก็มีจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นลงไปกว่า 100 เหรียญสหรัฐฯ/ออนซ์ ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งไม่เคยเกินขึ้นมาก่อน อย่างไรก็ตาม ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนช่วยป้องกันความเสี่ยงได้ แต่ช่วงนี้นักลงทุนจะต้องติดตามการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ มองว่าราคาเป้าหมายทองคำในตลาดปีนี้อยู่ที่ 2,000 เหรียญสหรัฐฯ/ออนซ์
ด้านนายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำในตลาดโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเคลื่อนไหว Sideway ถึง Sideway up โดยคาดว่าราคาทองคำในตลาดโลกสิ้นปีนี้จะแตะที่ 2,000 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เนื่องจากปัจจัยที่สนับสนุนการปรับขึ้นของราคาทองคำขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งปัญหาหนี้สินในสหรัฐฯและยุโรป อย่างไรก็ตามมองว่าเมื่อราคาปรับตัวลงสามารถหาจังหวะเข้าซื้อได้ และควรจะเข้าเร็วออกเร็ว ทั้งนี้แนะนำให้ลงทุนในทองคำ 10-20% ของพอร์ตลงทุน
"ราคาทองก่อนหน้านี้ได้ทำ record hig มาแล้ว 2 ครั้งที่ระดับเหนือ 1,900 เหรียญฯ ตอนนี้เป็นการปรับฐานที่ระดับ 1,800 กว่าเหรียญฯ มองว่าการปรับฐานรอบนี้ ถ้าหลุด 1,800 เหรียญฯไปโอกาสที่จะกลับขึ้นมาแตะ 2000 เหรียญฯในปีนี้ก็คงเป็นไปได้ แต่ถ้าสมมติว่าปีนี้ไม่ได้ก็เป็นปีหน้า เพราะราคาทองถือว่ายังอยู่ในช่วงขาขึ้น"นายบุญเลิศ กล่าวนายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ กล่าวว่า ราคาทองคำยังมีแนวโน้มสูงขึ้นจากความต้องการของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับธนาคารกลางของประเทศต่างๆทั่วโลกก็เข้าซื้อทองคำแท่งมากขึ้นเพื่อรักษาค่าเงินของประเทศตัวเองจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯรวมทั้งความผันผวนของค่าเงินยูโร ซึ่งทางบริษัทก็คาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีทิศทางอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไปจนถึงปี 56 ทำให้นักลงทุนได้มีการเข้ามาซื้อทองคำแท่งมากขึ้น เนื่องจากมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและสามารถเก็งกำไรได้
ล่าสุด บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนเปิดไทยเด็กซ์ โกลด์ อีทีเอฟ (GOLD99) ภายในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้งกองทุนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเป็นทางเลือกและ ตอบสนองความต้องการของนักลงทุนในทองคำแท่งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) โดยผู้ลงทุนมีโอกาสได้กำไรหรือขาดทุนเสมือนซื้อขายทองคำแท่งจริงๆ
ทั้งนี้ กองทุน GOLD99 มีความแตกต่างจากการลงทุนในกองทุนทองคำอื่นๆ เพราะจะซื้อขายในทองคำแท่งจริงๆ ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงตามราคาทองคำแท่งในตลาดโลกในแต่ละวัน โดยนักลงทุนสามารถซื้อขาย Realtime ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ได้ทันที โดย GOLD99 ก็เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นแดียวกับทีเด็กซ์ และ 1DIV โดยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาทเท่านั้น แต่ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล