นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนกู้เงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยคาดว่าจะกู้เพียง 6,000 ล้านบาทเท่านั้น จากกรอบวงเงินทั้งสิ้น 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ อย่างแน่นอน แม้ว่าในช่วงปลายปีนี้แนวโน้มความต้องการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้น แต่ในเดือน ม.ค.55 จะเป็นช่วงทยอยลอยตัวราคาพลังงานทั้งในส่วนของก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) ภาคขนส่ง และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี) ประกอบกับทิศทางราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง ก็อาจจะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ด้วย ทำให้ภาระกองทุนน้ำมันฯในช่วงดังกล่าวลดลง
ขณะนี้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน(องค์การมหาชน) อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะกู้เงินจากสถาบันการเงินใด ซึ่งจะเป็นสถาบันการเงินในประเทศทั้งหมด อาทิ ธนาคารกรุงไทย,ธนาคารออมสิน,ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ส่วนจะกู้จากสถาบันการเงินรายเดียวหรือหลายรายนั้นต้องพิจารณาก่อน คาดว่าจะสรุปได้ภายในเดือน ต.ค.นี้ และจะต้องเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) ต่อไป
ขณะเดียวกัน กระทรวงพลังงานเตรียมจะปรับงบประมาณในปี 55 ของกองทุนเพื่อการส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำงบดังกล่าวไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งจำเป็นจะต้องช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือนร้อนก่อน ส่วนจะได้ข้อสรุปอย่างไรนั้น คงต้องรอมติที่ประชุมก่อน
ด้านนายพชร นริพทะพันธุ์ โฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ระดับน้ำที่สูงขึ้นในเขตอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่งผลให้น้ำเอ่อล้นเลยคันกั้นน้ำเข้าสู่โรงไฟฟ้าวังน้อย ของ กฟผ. ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น กฟผ.จึงได้ตัดระบบผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าวังน้อยออกจากระบบหลักชั่วคราว และทำการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ที่สำคัญไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย ส่วนอุปกรณ์ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทำการปิดผนึกไม่ให้น้ำซึมผ่านเข้าไปทำลายเครื่องจักรอุปกรณ์
อีกทั้งได้มีการย้ายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งอื่นเข้ามาทดแทนกำลังผลิตของโรงไฟฟ้าวังน้อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งได้เพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองพร้อมจ่ายทันทีเป็น 1,800 เมกะวัตต์ ขณะที่โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากได้หยุดทำการและประชาชนผู้ประสบอุทกภัยได้ย้ายออกจากบ้านพักอาศัยไปยังศูนย์พักพิง ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าในขณะนี้ลดลง 1,200 เมกะวัตต์ จึงยืนยันว่าจะไม่ก่อให้เกิดการขาดแคลนไฟฟ้าในช่วงนี้