นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สศค.คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)จะลดลงเนื่องจากผลของวิกฤตอุทกภัยเป็นมูลค่า 189,822 ล้านบาท หรือลดลง -1.80% โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 54 จะขยายตัวเหลือ 2.72% ต่อปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั้งปีคาดว่าจะเร่งขึ้นมาอยู่ที่ 4.0% จากการปรับเพิ่มของราคาสินค้าในหมวดอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ โดยคาดว่าจะเป็นผลในระยะสั้น
เหตุการณ์อุทกภัยส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้างทั้งในด้านการใช้จ่ายภายในประเทศและในด้านการผลิต โดยในด้านการใช้จ่ายภายในประเทศมีแนวโน้มที่การบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวในอัตราชะลอลงจากการที่การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาอุทกภัยมีการหยุดชะงักลง โดยเฉพาะการจับจ่ายใช้สอยในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดโรงแรมและภัตตาคาร ซึ่งมีความสำคัญต่อการบริโภคภาคเอกชนรวมในสัดส่วน 32.0% และ 9.3% ตามลำดับ
ประกอบกับ รายได้ที่ลดลงของผู้ใช้แรงงานจากการหยุดการจ้างงานของสถานประกอบการที่ประสบภัย รวมถึงการสูญเสียรายได้ของเกษตรกร เนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายในวงกว้าง ล้วนส่งผลกระทบให้การบริโภคภาคเอกชนโดยรวมชะลอตัวลงในอนาคต
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนก็ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมเช่นกันเนื่องจากอุตสาหกรรมทั้งที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมและนอกนิคมอุตสาหกรรมต่างก็ได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ดี คาดว่าการลงทุนภาคเอกชนจะกลับมาเร่งตัวขึ้นหลังจากปัญหาน้ำท่วมคลี่คลาย เนื่องจากต้องมีการลงทุนในการซ่อมแซมถนน อาคารสถานที่ และที่พักอาศัย รวมไปถึงการสั่งซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์ ชิ้นส่วนอะไหล่ ของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อแทนที่เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้รับความเสียหาย
ทั้งนี้ คาดการณ์ผลกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรมว่าจะชะลอตัวลง โดยเฉพาะในเขตนิคมอุตสาหกรรมของจังหวัดอยุธยาและปทุมธานี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และจะกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน(Supply Chain) ในการผลิตสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง และจะส่งผลให้การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบโดยตรงจากการหยุดการผลิต นอกจากนี้ ยังมีความเสียหายในภาคการเกษตรและภาคบริการด้วย
ดังนั้น คาดว่าจะทำให้มูลค่าการส่งออกลดลงราว 77,172 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2,489.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมูลค่าการส่งออกรวมในปี 54 จะลดลงเหลือ 234,411 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 21.0%