EXIM BANK แนะ 4 ทางรอดผู้ประกอบการไทย จากแรงกระแทกภาษีทรัมป์

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday May 6, 2025 18:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

EXIM BANK แนะ 4 ทางรอดผู้ประกอบการไทย จากแรงกระแทกภาษีทรัมป์

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ชี้ แม้สหรัฐฯ เลื่อน Reciprocal Tariffs ออกไป 90 วัน แต่ในระยะสั้น ตลาดการเงินยังผันผวน แต่ตลาดส่งออกได้แรงบวกจาก Panic Buying ขณะที่ระยะถัดไป เศรษฐกิจและการค้าโลกเสี่ยงชะลอตัว ส่งผลต่อเนื่องถึงไทย แนะผู้ประกอบการไทยปรับตัว รับมือ Worst Case ที่อาจเกิดขึ้นผ่าน 4 แนวทาง เข้าถึงคู่ค้า, เข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง, เข้าสู่ตลาดใหม่ และเข้าใจสถานการณ์


ตลาดการค้าโลก บรรเทาจากภาวะตื่นตระหนกหลังสหรัฐฯ เลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ออกไป 90 วัน หรือถึงวันที่ 9 ก.ค.68 เพื่อให้แต่ละประเทศมีเวลาเจรจาต่อรองผลประโยชน์กับสหรัฐฯ โดยตรง ก่อนที่สหรัฐฯ จะตัดสินใจอีกครั้งว่าจะใช้มาตรการดังกล่าวกับแต่ละประเทศอย่างไร โดยปัจจุบัน ไทยอยู่ระหว่างขั้นตอนติดต่อและเจรจา ซึ่งไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ผู้ประกอบการไทยต้องพร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้าย (Worst Case Scenario) ที่อาจเกิดขึ้น โดยสถานการณ์และผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้


  • ระยะสั้น..ตลาดการเงินผันผวน แต่ตลาดส่งออกได้แรงบวกจาก Panic Buying

ตลาดการเงินอ่อนไหวและผันผวน จากความไม่มั่นใจในนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งมาตรการของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาสร้างความตื่นตระหนกกับตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตั้งแต่ตลาดหุ้น ค่าเงิน และสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างทองคำ ต้องเผชิญความผันผวน สังเกตได้จากดัชนีวัดความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (Volatility Index: VIX) ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2568 ที่ปรับสูงขึ้นแตะระดับ 50 จุด สูงสุดในรอบ 31 เดือน ขณะที่ U.S. Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีวัดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบสกุลเงินหลักของโลก อ่อนค่าลงแตะระดับ 98 จุด ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน

ภาคส่งออกได้แรงบวกจากความต้องการซื้อสินค้าในภาวะตื่นตระหนก (Panic Buying) เนื่องจากผู้นำเข้าและผู้บริโภค เร่งซื้อสินค้าเพื่อกักตุนก่อนที่ราคาสินค้าจะปรับขึ้นหลัง Reciprocal Tariffs บังคับใช้ และทดแทนสินค้าจากจีนที่ถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นแล้วอย่างน้อย 145% ส่งผลให้การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ที่ขยายตัวถึง 25% อาทิ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และอุปกรณ์สื่อสารและส่วนประกอบ

อย่างไรก็ตาม ต้องพึงระวังว่า เมื่อตลาดมีความชัดเจนมากขึ้นในระยะข้างหน้า ความต้องการสินค้าดังกล่าวอาจลดลงแบบกะทันหันได้ เนื่องจากไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง (Real Demand)


  • ระยะถัดไป..เศรษฐกิจ-การค้าโลกเสี่ยงชะลอตัว กระทบถึงไทย

เศรษฐกิจและการค้าโลกเสี่ยงชะลอตัว โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2568 เหลือ 2.8% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3.3% โดยมีมาตรการ Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจ เช่นเดียวกันกับการที่องค์การการค้าโลก (WTO) คาดว่าปริมาณการค้าโลกจะหดตัว 0.2% ในปีนี้ จากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.7%

ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้เริ่มมีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเช่นเดียวกัน อาทิ IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือขยายตัว 1.8% จากเดิม 2.9% และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับเหลือ 2.0% จากเดิม 2.9%

การส่งออกไทยได้รับผลกระทบแน่นอนในระยะข้างหน้า แต่ความรุนแรงยังคงขึ้นกับผลสรุปสุดท้ายของมาตรการ Reciprocal Tariffs ที่สหรัฐฯ จะใช้กับไทย อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจและการค้าโลกปี 2568 ที่มีแนวโน้มชะลอค่อนข้างแน่นอนจากสถานการณ์ปัจจุบัน จะส่งผลต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยในเบื้องต้น EXIM BANK ประเมินว่าในกรณีไทยถูกเก็บ 10% เช่นเดียวกับทุกประเทศ การส่งออกไทยปีนี้จะยังขยายตัวได้เล็กน้อยราว 0.5-1.5%


  • 4 แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการ

1. เข้าถึงคู่ค้าของตนเอง ผู้ประกอบการส่งออกจำเป็นต้องติดต่อประสานงานกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อจับสัญญาณผลกระทบที่คู่ค้าอาจได้รับ ไปจนถึงสอบถามยืนยันการรับมอบสินค้าท่ามกลางความคลุมเครือของมาตรการสหรัฐฯ และอาจต้องตกลงยอมรับค่าใช้จ่ายภาษีนำเข้าที่อาจถูกเรียกเก็บเพิ่มขึ้นกับสินค้าไทยตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค.68

2. เข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งตลาดการเงินเผชิญกับความผันผวนค่อนข้างมากในปัจจุบันเมื่อเทียบกับฝั่งของภาคการผลิต ผู้ประกอบการจึงควรใช้เครื่องมืออย่าง Foreign Exchange Forward Contracts เพื่อปิดความเสี่ยง ซึ่งการใช้เครื่องมือดังกล่าว จะช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องวิตกกังวล และสามารถดำเนินการจัดการงานอื่น ๆ อาทิ การลดต้นทุน และการบริหารห่วงโซ่อุปทานให้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถใช้บริการประกันการส่งออก ซึ่งเป็นการทำประกันก่อนการส่งออกเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ผู้ซื้อผิดนัดชำระเงินค่าสินค้า ผู้ซื้อปฏิเสธการรับมอบสินค้า ผู้ซื้อล้มละลาย รวมถึงความเสี่ยงจากสงคราม จลาจล และรัฐประหาร

3. เข้าสู่ตลาดใหม่ การแสวงหาคู่ค้ารายใหม่ ถือเป็นแนวทางปกติของการดำเนินธุรกิจ แต่การแสวงหาตลาดประเทศใหม่ ๆ อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายกว่าและมักถูกละเลยจากบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เมื่อตลาดหลักของภาคส่งออกอย่างสหรัฐฯ และจีน ต่างตกอยู่ในวังวนของสงครามการค้า ดังนั้น การแสวงหาตลาดประเทศใหม่ ๆ จึงเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็น

โดยหากพิจารณาการส่งออกไปตลาดอื่นที่ขยายตัวดี อาทิ การส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบ ไปอาเซียนในไตรมาส 1/2568 ที่ขยายตัว 17% ขณะที่การส่งออกคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบไป EU ขยายตัวถึง 65% รวมถึงเครื่องปรับอากาศไปตะวันออกกลาง ขยายตัว 39% ก็ยังพบว่ามีหลายตลาดที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถใช้กลไกภาครัฐ เช่น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และ EXIM BANK เป็นตัวช่วยในการเข้าสู่ตลาดใหม่

4. เข้าใจสถานการณ์ให้ถ่องแท้ คงต้องยอมรับว่ามาตรการ Reciprocal Tariffs มีรายละเอียด มีความซับซ้อน และมีความไม่แน่นอนอยู่มาก นอกจากนี้ ยังอาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม หรือมีแนวมาตรการใหม่ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการจึงควรติดตามข้อมูล และสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถนำมาใช้ประเมินผลกระทบต่อธุรกิจตนเองได้ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น สินค้าในหมวดยางพาราด้วยกั นอย่างยางพาราขั้นต้น ยางรถยนต์และถุงมือยาง กลับถูกเก็บภาษีเพิ่มในอัตราที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ ยังอาจต้องติดตามข้อมูลของประเทศคู่แข่งด้วยว่าถูกเรียกเก็บภาษีสูงหรือต่ำกว่าไทย เพื่อวางกลยุทธ์และตลาดให้แก่สินค้าของตนเองต่อไป


ทั้งนี้ EXIM BANK พร้อมร่วมเดินหน้าหา Solution ในการนำพาผู้ประกอบการส่งออกของไทย ก้าวข้ามผ่านวิกฤตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอย่าง Foreign Exchange Forward Contracts และบริการประกันการส่งออก ที่จะทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงและรุกตลาดใหม่ได้อย่างมั่นใจ ไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่าง EXIM Shield Financing ที่สนับสนุนสินเชื่อพร้อมเครื่องมือประกันการส่งออก และ EXIM-DITP Empower Financing ที่สนับสนุนสินเชื่อหมุนเวียนสำหรับการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของ DITP

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเปิด Export Clinic สำหรับ Update สถานการณ์สำคัญ และให้คำแนะนำเบื้องต้นที่จำเป็นกับผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถเข้าใจสถานการณ์ และบริบทการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ