
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ระบุว่า ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาสที่ 1 ปี 68 ขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 0.2%YoY เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 7.2%YoY โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 10% และ 8% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวต่อเนื่องที่ 18.1%YoY และ 11.9%YoY ตามลำดับ
ขณะที่การส่งออกไปจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 24% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมเกษตร พลิกกลับมาขยายตัว 7.0%YoY จากการที่จีนเร่งนำเข้าก่อนที่สหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน เช่น ยางพารา
อย่างไรก็ดี การส่งออกไปอาเซียน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 23% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวถึง -10.2%YoY ส่วนหนึ่งจากฐานที่สูงในปีก่อน ในกลุ่มสินค้าหลัก เช่น ข้าว และการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดียเมื่อเดือน ก.ย.67
ทั้งนี้ หมวดสินค้าเกษตรพลิก กลับมาหดตัวที่ -1.4%YoY (สัดส่วนราว 55% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมเกษตร) โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ข้าว (-30.4%YoY) ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากฐานที่สูงในปีก่อน และการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดีย และมันสำปะหลัง (-13.4%YoY) ที่ลดลง เนื่องจากเผชิญการแข่งขันกับราคาข้าวโพดจีน (สินค้าทดแทน) ส่วนกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา (32.4%YoY) จากการที่จีนเร่งนำเข้าก่อนที่สหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้
ด้านหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 2.0%YoY (สัดส่วนราว 45%) โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง (13.3%YoY) จากความต้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (2.0%YoY) เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากความกังวลต่อสงครามการค้า ขณะที่สินค้าที่หดตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย (-0.7%YoY) เนื่องจากราคาส่งออกที่ปรับลดลงตามตลาดโลก และปริมาณส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในปีก่อน ที่ทำให้ผลผลิตอ้อยลดลง
สำหรับสถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ในกลุ่มสินค้าสำคัญในไตรมาส 1/68 ได้แก่
1. มูลค่าการส่งออกข้าว ไตรมาสที่ 1/68 หดตัว -30.4%YoY จากปริมาณการส่งออกข้าวโดยรวมที่หดตัว -28.0%YoY โดยมูลค่าการส่งออกข้าวขาว 5% (คิดเป็นสัดส่วน 13% ของมูลค่าส่งออกข้าวรวม) หดตัวถึง -74.5%YoY จากปริมาณการส่งออกที่หดตัว -68.2%YoY และราคาส่งออกที่ปรับลดลง -29.4%YoY จากการยกเลิกนโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย ขณะที่มูลค่าการส่งออกข้าวหอมมะลิ (คิดเป็นสัดส่วน 33% ของมูลค่าส่งออกข้าวรวม) ยังสามารถขยายตัวได้ที่ 16.9%YoY จากราคาส่งออกข้าวหอมมะลิที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.3%YoY ประกอบกับปริมาณการส่งออกขยายตัว 7.0%YoY จากฐานที่ต่ำในปี 67
2. มูลค่าการส่งออกยางแผ่นและยางแท่ง ไตรมาสที่ 1/68 ขยายตัว 30.6%YoY จากราคาส่งออกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 32.5%YoY แต่ปริมาณการส่งออกหดตัว -1.5%YoY จากปริมาณการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งไปสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 12% ของการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งทั้งหมดของไทยหดตัว -13.5%YoY ส่วนหนึ่งจากฐานที่สูงในปีก่อน ขณะที่ปริมาณการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งไปจีนขยายตัว 24.6%YoY จากการเร่งนำเข้ายางแผ่นและยางแท่ง เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางล้อ และชิ้นส่วนรถยนต์ไปสหรัฐฯ
ส่วนมูลค่าการส่งออกน้ำยางข้นไตรมาสที่ 1 ปี 68 ขยายตัว 38.9%YoY จากราคาส่งออกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 24.8%YoY และปริมาณการส่งออกขยายตัว 11.3%YoY โดยปริมาณการส่งออกน้ำยางข้นไปจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 25% ของการส่งออกน้ำยางข้นทั้งหมดของไทย ขยายตัวถึง 63.6%YoY เนื่องจากจีนเร่งนำเข้าน้ำยางข้น เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนที่สหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้
3. มูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ไตรมาสที่ 1/68 อยู่ที่ 810 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว -13%YoY โดยมูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดอยู่ที่ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 6,735 ล้านบาท) ขยายตัว 18%YoY ในแง่ปริมาณขยายตัวถึง 60%YoY เพราะฐานที่ต่ำในปีก่อน อีกทั้งคู่ค้าจีนกลับมานำเข้ามันเส้นและมันอัดเม็ดจากไทยอีกครั้ง หลังจากราคาส่งออกเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น สะท้อนจากราคาส่งออกในช่วงไตรมาส 1/68 ที่อยู่ในกรอบแคบราว 180-190 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน
ขณะที่ไตรมาส 4/67 ราคาส่งออกลดลงต่อเนื่อง จาก 235 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ในเดือนต.ค. 67 เป็น 190 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ในเดือนธ.ค. 67 ด้านราคาส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดหดตัว -26%YoY เนื่องจากโรงงานผลิตแอลกอฮอล์ในจีน หันมาใช้ข้าวโพดที่มีราคาถูกกว่า
ส่วนมูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังอยู่ที่ 595 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 20,134 ล้านบาท) หดตัว -21%YoY โดยในแง่ปริมาณขยายตัว 0.5%YoY แต่ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลังหดตัว -22%YoY เนื่องจากเผชิญการแข่งขันกับราคาแป้งข้าวโพดจีนที่มีราคาถูกกว่ามาก
4. มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง และแห้ง ไตรมาสที่ 1/68 กลับมาหดตัวที่ -1.5%YoY จากการส่งออกไปจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักหดตัว -3.8%YoY โดยมูลค่าการส่งออกมังคุด หดตัวถึง -96.3%YoY เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงต้นปี 68 ทำให้ผลผลิตมังคุดออกสู่ตลาดล่าช้ากว่าปกติ ประกอบกับราคามังคุดที่ตกต่ำ ทำให้เกษตรกรบางส่วนหันไปเพาะปลูกทุเรียน และพืชอื่นแทนมังคุด ส่งผลให้ปริมาณมังคุดเพื่อส่งออกลดลง อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกทุเรียน และลำไย ขยายตัวต่อเนื่องที่ 8.5%YoY และ 25.0%YoY ตามลำดับ จากความต้องการบริโภคผลไม้เมืองร้อนของชาวจีน ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
5. ภาพรวมมูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง และแปร รูปไตรมาสที่ 1 ปี 68 ขยายตัว 8.8%YoY โดยเฉพาะไก่แปรรูปขยายตัว 8.6%YoY จากตลาดส่งออกหลักอย่างสหภาพยุโรป ที่ขยายตัว 22.3%YoY เพราะความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปที่เพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร เช่นเดียวกับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ที่ยังขยายตัว 9.4%YoY จากการส่งออกไปญี่ปุ่น และจีน เพิ่มขึ้น 13.6%YoY และ 10.4%YoY ตามลำดับ เพื่อทดแทนไก่เนื้อในญี่ปุ่น และจีน จากการระบาดของโรคไข้หวัดนก
ทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญในปี 68-69
1. ข้าว
ในปี 68 คาดว่า ภาพรวมมูลค่าส่งออกข้าวไทยจะอยู่ที่ราว 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลง -42%YoY จากปริมาณการส่งออกข้าวที่ลดลงมาอยู่ที่ราว 7.8 ล้านตัน หรือลดลง -21%YoY จากการยกเลิกนโยบายควบคุมการส่งออกข้าวของอินเดีย ที่ทำให้อานิสงส์จากการที่ผู้นำเข้าข้าวหันมานำข้าวไทยทดแทนอินเดียหมดลง และส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับลดลง
โดยคาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทย จะอยู่ที่ 410-430 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หรือลดลงราว 26-30%YoY ทำให้ผู้ประกอบการมีความเสี่ยงขาดทุนสต็อก ประกอบกับยังต้องติดตามปัญหาต้นทุนค่าขนส่งที่จะยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากนี้ มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ อาจทำให้การส่งออกข้าวไทยในปี 68 ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ อาจเลือกนำเข้าข้าวจากเวียดนามแทน แม้ว่าจะถูกเก็บภาษีในระดับสูงเช่นกัน แต่ราคายังต่ำกว่าไทย ส่งผลให้ข้าวไทยเสียเปรียบด้านราคา ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของข้าวหอมมะลิไทย โดยในปี 67 ไทยส่งออกข้าวหอมมะลิไปยังสหรัฐฯ ประมาณ 0.63 ล้านตัน หรือคิดเป็น 44% ของการส่งออกข้าวหอมมะลิทั้งหมด ซึ่งทั้งหมดนี้ อาจกระทบความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมข้าว
ส่วนในปี 69 คาดว่า มูลค่าส่งออกข้าวไทยจะอยู่ที่ราว 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลงต่อเนื่องที่ -6%YoY โดยในแง่ปริมาณการส่งออกข้าวอยู่ที่ราว 7.6 ล้านตัน หรือลดลง -3%YoY จากแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคาที่ต่ำกว่าของประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม และจุดขายของสายพันธุ์ข้าวไทย เริ่มไม่เป็นจุดแข็งในการส่งออก เนื่องจากข้าวพันธุ์พื้นนุ่มของเวียดนามมีราคาถูก และรสชาติดีกว่า ซึ่งโดยรวมปริมาณการส่งออกข้าวทั้ง 2 ปี นับว่าอยู่ในระดับต่ำหากเทียบกับในช่วงปี 57-61 หรือปี 67 ที่เคยส่งออกได้เฉลี่ยปีละ 9-10 ล้านตัน
2. ยางพารา
แม้ว่ามูลค่าการส่งออกยางแผ่นยางแท่ง และน้ำยางข้น ไตรมาสที่ 1/68 ขยายตัวสูงถึง 30.6%YoY และ 38.9%YoY ตามลำดับ จากการเร่งส่งออกก่อนที่สหรัฐฯ จะประกาศมาตรการภาษีตอบโต้เป็นสำคัญ แต่ในช่วงที่เหลือของปี จะมีความเสี่ยงจากมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกยางพาราของไทยที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน
โดยคาดว่า ในปี 68-69 มูลค่าการส่งออกยางแผ่น และยางแท่ง จะอยู่ที่ 3.64 และ 3.35 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัว -9.3%YoY และ -8.0%YoY ตามลำดับ จากราคาส่งออกยางแผ่น และยางแท่ง มีแนวโน้มลดลง -4.3%YoY และ -3.2%YoY ตามลำดับ จากปริมาณผลผลิตยางพาราโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนที่คลี่คลาย
ส่วนปริมาณการส่งออกยางแผ่น และยางแท่ง คาดว่าจะหดตัว -5.1%YoY และ -5.0%YoY ตามลำดับจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก เช่น จีน และผลกระทบของสงครามการค้า ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้ยางแผ่น และยางแท่ง เป็นวัตถุดิบในการผลิตมีแนวโน้มลดลง
ส่วนในปี 68-69 คาดว่า มูลค่าการส่งออกน้ำยางข้นจะอยู่ที่ 0.90 และ 0.86 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ หรือหดตัว -4.9%YoY และ -3.7%YoY ตามลำดับ จากราคาส่งออกน้ำยางข้น มีแนวโน้มลดลง -3.1%YoY และ-2.2%YoY ตามลำดับ จากปริมาณผลผลิตยางพาราโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณการส่งออกคาดว่าจะหดตัว -1.8%YoY และ -1.6%YoY ตามลำดับ จากความต้องการใช้น้ำยางข้นเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางของจีนไปสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง จากแรงกดดันของสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น
3. มันสำปะหลัง
ในปี 68-69 ผลผลิตมันสำปะหลัง คาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก อีกทั้งการควบคุมการระบาดของโรคใบด่างให้อยู่ในวงจำกัดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การส่งออกต้องเผชิญปัจจัยกดดันจากการแข่งขันด้านราคา กับราคาข้าวโพดในจีนที่มีราคาถูกกว่า เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดในจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น คาดว่า ในปี 68 มูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดจะอยู่ที่ราว 429 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัว -10%YoY เพราะราคาส่งออกที่ลดลงถึง -25%YoY ตามทิศทางราคาข้าวโพดในตลาดจีนที่ลดลงมาก แม้ปริมาณส่งออกจะขยายตัว 15%YoY (ขยายตัวสูงจากฐานที่ต่ำในปี 67)
ส่วนในปี 69 คาดว่า มูลค่าส่งออกมันเส้น และมันอัดเม็ด จะอยู่ที่ 449 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 4%YoY เพราะราคาส่งออกจะลดลง -5%YoY แต่ปริมาณส่งออกจะขยายตัวได้ 10%YoY แต่คาดว่ามูลค่าส่งออกในปี 68-69 จะเป็นระดับที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยปี 63-67 ซึ่งอยู่ที่ราว 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ส่วนมูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังในปี 68 จะอยู่ที่ราว 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัว -15%YoY ซึ่งเป็นผลจากราคาส่งออกที่ลดลงถึง -20%YoY แม้ปริมาณส่งออก จะขยายตัว 6%YoY และในปี 69 คาดว่ามูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลัง จะอยู่ที่ 2,173 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัว -1%YoY โดยราคาส่งออกจะลดลง -5%YoY แม้ปริมาณส่งออกจะขยายตัว 4%YoY
ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามผลกระทบหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวจากการที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้ ก็อาจทำให้ความต้องการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่องในจีนลดลง ทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปจีนต่ำกว่าที่คาดไว้
4. ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง
ในปี 68-69 คาดว่า มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง และแห้ง จะอยู่ที่ 7.0 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 7.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 7.7%YoY และ 9.4%YoY ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากปริมาณผลผลิตผลไม้ของไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศ และปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวย ประกอบกับความต้องการบริโภคผลไม้เมืองร้อนของชาวจีน ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี การส่งออกผลไม้ของไทยไปจีน เผชิญปัจจัยท้าทายเกี่ยวกับมาตรฐานควบคุมการปนเปื้อนสารห้ามใช้ในทุเรียนสดที่ส่งออกไปจีนมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยทางการจีนกำหนดมาตรการให้ทุเรียนที่ส่งออกจากไทยไปจีน จะต้องมีเอกสารรับรองการตรวจวิเคราะห์สาร Basic Yellow 2 และแคดเมียม ซึ่งหากพบสารต้องห้ามจะระงับการนำเข้าทันที โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 68
นอกจากนี้ การส่งออกผลไม้ของไทยไปจีน อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้สูงถึง 145% ซึ่งอาจทำให้ความต้องการนำเข้าผลไม้เพื่อบริโภคมีแนวโน้มลดลง
5. ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป
ในปี 68-69 คาดว่า มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4,528 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 4,844 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 5.0%YoY และ 7.0%YoY ตามลำดับ และปริมาณการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง และแปรรูป จะอยู่ที่ 1.17 ล้านตัน และ 1.20 ล้านตัน หรือขยายตัว 2.4%YoY และ 2.7%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัว ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกไก่แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่น ที่ยังขยายตัวตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในญี่ปุ่นที่นิยมบริโภคอาหารพร้อมทาน
ทั้งนี้ รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป จะช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญการแข่งขันกับบราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกไก่รายใหญ่ของโลก ที่มีความได้เปรียบจากการเป็นผู้ผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลืองรายใหญ่ ทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทย
ขณะที่การส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง จะยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในจีนและเวียดนาม ทำให้มีการนำเข้าไก่เนื้อเพื่อทดแทนสุกรมากขึ้น อีกทั้งยังได้รับผลดีจากทางการจีนรับรองโรงงานผลิตและแปรรูปไก่แช่แข็งไทยเพิ่มอีก 3 โรง จากเดิมที่ได้รับการรับรองและส่งออกแล้ว 23 โรงงาน รวมเป็น 26 โรงงาน รวมถึงยังต้องติดตามการที่จีนตอบโต้สหรัฐฯ โดยตั้งภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงขึ้น อาจเปิดโอกาสให้ไทยเข้าไปขยายส่วนแบ่งตลาดไก่ในจีน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกไก่ไปยังจีนเป็นลำดับที่ 2 รองจากบราซิล
Krungthai COMPASS มองว่า มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย โดยประเมินกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจาก 2 เกณฑ์ ได้แก่ สัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และสัดส่วนของผู้ประกอบการ SMEs
โดยพบว่า สินค้าที่เข้าข่ายได้รับผลกระทบโดยตรงสูงจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง สิ่งปรุงรสอาหาร ข้าว ปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง และกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป เนื่องจากในปี 67 ไทยส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปสหรัฐฯ สูงถึงราว 11-29% ของการส่งออกสินค้าเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าภาพรวมสัดส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยไปสหรัฐฯ ในปี 67 ซึ่งอยู่ที่ 10.2% และส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย
นอกจากนี้ สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยที่ยังต้องจับตาเพิ่มเติม เพราะอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ได้แก่ สินค้าที่มีการพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก เช่น ผักและผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง และมันสำปะหลัง รวมถึงสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน เช่น ยางพารา ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากความต้องการนำเข้ายางพาราเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตของจีนมีแนวโน้มลดลง
Krungthai COMPASS คาดการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 68 มีแนวโน้มหดตัว โดยมี 3 ปัจจัยกดดันที่ต้องติดตามใกล้ชิด ดังนี้
1. มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง รวมถึงสินค้าที่พึ่งพาตลาดจีนสูง และสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสูง นอกจากนี้ ยังต้องติดตามหากไทยเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารจากสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง และผลไม้ เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้ความสามารถในการผลิตและการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยลดลง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่มีข้อจำกัดในการแข่งขัน และมี Margin ต่ำ
2. ต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและอาหาร โดยยังต้องติดตามการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรอบใหม่ทั่วประเทศเป็น 400 บาทต่อวันในเดือน พ.ค. 68 ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้นอย่างอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง เป็นต้น
นอกจากนี้ มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้ากระทบต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจ เช่น กฎหมายที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้เข้าสู่ตลาดของสหภาพยุโรป (EU Deforestation-free products: EUDR) ที่จะมีผลบังคับใช้จริงตั้งแต่ 30 ธ.ค. 68 สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ และ 30 มิ.ย. 69 สำหรับบริษัท SMEs ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการไทยมีต้นทุนจากการดำเนินการตาม EUDR ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มยางพารา และปาล์มน้ำมัน
3. การแข่งขันในตลาดส่งออกทวีความรุนแรง เนื่องจากอุปทานสินค้าเกษตรในตลาดโลกเพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรในหลายประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงทางอาหารของหลายประเทศบรรเทาลง เช่น การที่อินเดียประกาศยกเลิกนโยบายจำกัดการส่งออกข้าว หลังจากประเมินว่าผลผลิตภายในประเทศมีเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ จากสภาพอากาศที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่มีนโยบายชะลอการนำเข้าข้าว เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหารที่บรรเทาลง จากผลผลิตในประเทศที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าข้าวในตลาดโลกลดลง ขณะที่อุปทานข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นปัจจัยที่กดดันราคาข้าวตลาดโลกในอนาคต