ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า วันที่ 22 พ.ค. 68 สหภาพยุโรป (EU) จัดให้ไทยอยู่ในกลุ่ม "เสี่ยงต่ำ" จากปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ตามกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation: EUDR) ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในปลายปีนี้กับธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ใน EU
โดยกฎหมายนี้กำหนดให้การนำเข้าสินค้า ได้แก่ ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์แปรรูป, โกโก้, ปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์แปรรูป, ไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูป, กาแฟ, ยางพาราและผลิตภัณฑ์แปรรูป และวัวและผลิตภัณฑ์แปรรูป เข้ามาในตลาด EU ต้องไม่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ต้องผลิตอย่างถูกกฎหมาย และผ่านกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ (Due Diligence) ใน 3 ขั้นตอน ทั้งการ 1. เก็บข้อมูล 2. ประเมินความเสี่ยง และ 3. ลดความเสี่ยง โดยหากไม่ปฏิบัติตาม ผู้นำเข้ามีสิทธิถูกปรับสูงสุด 4% ของมูลค่ายอดขายของบริษัทใน EU ยิ่งไปกว่านั้น ยังจะถูกกีดกันไม่ให้รับงานประมูลและเงินสนับสนุนจากภาครัฐด้วย
ทั้งนี้ การที่ไทยได้รับสถานะเสี่ยงต่ำนับเป็นข่าวดี ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่แวดล้อมด้วยสถานการณ์เลวร้าย เนื่องจากผู้นำเข้าสินค้าเกษตรจากไทยไปยัง EU จะได้รับ "สิทธิพิเศษ" ในการไม่ต้องดำเนินการในขั้นตอนที่ 2 ประเมินความเสี่ยง และขั้นตอนที่ 3 ลดความเสี่ยงในกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความซับซ้อนและมีต้นทุนสูง ดังนั้น การที่ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ จะทำให้ต้นทุนการนำเข้าจากไทยต่ำกว่าการนำเข้าจากกลุ่มประเทศที่มีระดับความเสี่ยงปกติและสูง ที่ต้องดำเนินการกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับครบทั้ง 3 ขั้นตอน
ขณะเดียวกัน สถานะ "ประเทศเสี่ยงต่ำ" ช่วยให้ไทยได้เปรียบด้านต้นทุนและเพิ่มโอกาสทางการค้าในตลาด EU เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงปกติและเสี่ยงสูง โดยในปี 67 ไทยเป็นแหล่งนำเข้าสินค้า EUDR อันดับ 15 ของ EU (ไม่นับรวมประเทศในกลุ่ม EU) ที่มีมูลค่านำเข้า 2,041 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.5% ของการนำเข้าสินค้า EUDR ทั้งหมดจากนอกกลุ่ม EU ซึ่งยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางพาราเป็นสินค้า EUDR หลักที่ไทยส่งไป EU
โดยเมื่อพิจารณา 15 ประเทศคู่ค้าสินค้า EUDR หลักของ EU จะพบว่า 10 ประเทศ เช่น ไทย, จีน และเวียดนาม อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ ขณะที่อีก 5 ประเทศ เช่น บราซิล, อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงปกติ สะท้อนถึงโอกาสที่ไทยสามารถขยายตลาดได้จากการเปลี่ยนแหล่งนำเข้าของ EU เพื่อลดต้นทุนการนำเข้า
SCB EIC ประเมินว่า ประเทศที่อยู่ในกลุ่ม "เสี่ยงต่ำ" มีโอกาสขยายการส่งออกสินค้า EUDR ทดแทนประเทศเสี่ยงปกติและเสี่ยงสูง ที่ปัจจุบันมีมูลค่าส่งออกไปยัง EU ราว 39,586 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้นำเข้าใน EU ที่ต้องการลดต้นทุนจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EUDR มีแนวโน้มเปลี่ยนแหล่งนำเข้าสู่ประเทศเสี่ยงต่ำ ซึ่งไม่ต้องดำเนินการประเมินและลดความเสี่ยงเพิ่มเติม
โดยเมื่อพิจารณาจากประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้าสินค้า EUDR มากที่สุด 15 อันดับแรก และถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงปกติหรือสูง จะพบว่า EU มีมูลค่านำเข้ารวมจากกลุ่มประเทศดังกล่าว แยกเป็นรายกลุ่มสินค้าภายใต้ EUDR และเรียงลำดับจากมูลค่ามากไปหาน้อย ดังนี้
1. ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์แปรรูป 10,175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. โกโก้ 7,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
3. ปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์แปรรูป 5,995 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
4. ไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูป 5,912 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
5. กาแฟ 5,802 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
6. ยางพาราและผลิตภัณฑ์แปรรูป 2,657 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
7. วัวและผลิตภัณฑ์แปรรูป 1,465 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ ประเทศเสี่ยงต่ำ ยังมีโอกาสเพิ่มการส่งออกทางอ้อม จากการเป็นแหล่งวัตถุดิบให้ผู้ผลิตในห่วงโซ่อุปทานที่ส่งสินค้าไปยัง EU
SCB EIC ระบุว่า ยางพาราและน้ำมันปาล์มเป็นสองสินค้าเกษตรหลักของไทยที่มีศักยภาพสูงในการขยายตลาดสู่ EU ภายใต้กฎหมาย EUDR โดยไทยเป็นผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก ซึ่งในปี 67 EU นำเข้ายางพาราจากโกตดิวัวร์, อินโดนีเซีย และมาเลเซีย รวมกันกว่า 680,000 ตัน หรือมากกว่าที่นำเข้าจากไทยถึง 2.3 เท่า ผู้นำเข้า EU จึงมีแนวโน้มหันมานำเข้าจากไทยมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาระด้านกฎระเบียบ
นอกจากนี้ ไทยยังจะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการที่จีนซึ่งเป็นผู้ผลิตยางล้อรายใหญ่และส่งออกไปยัง EU จำนวนมาก ก็มีแนวโน้มหันมานำเข้ายางพาราจากไทยเพิ่มขึ้นเพื่อลดต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎระเบียบของ EUDR สำหรับน้ำมันปาล์ม แม้ปัจจุบันไทยจะยังมีการส่งออกไป EU ไม่มาก แต่ก็เป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบอันดับ 3 ของโลก รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งทั้งสองประเทศถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงปกติ และต้องเผชิญข้อกำหนดที่เข้มงวดกว่าไทย
โดยในปี 67 EU นำเข้าน้ำมันปาล์มดิบและบริสุทธิ์จากสองประเทศนี้รวมกันกว่า 2.4 ล้านตัน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ไทยมีโอกาสเจาะเพิ่มได้ อย่างไรก็ตาม โอกาสของสินค้าเกษตรไทยในกลุ่มอื่น เช่น ถั่วเหลือง โกโก้ กาแฟ และวัว ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากปริมาณผลผลิตยังไม่เพียงพอที่จะทดแทนประเทศคู่แข่งในกลุ่มเสี่ยงปานกลางและสูงได้ในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม โอกาสนี้จะเป็น "ความได้เปรียบชั่วคราว" หากไทยไม่สามารถรักษาความน่าเชื่อถือในห่วงโซ่การผลิต และมาตรฐานด้านความโปร่งใสได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผู้นำเข้าจากไทยจะได้รับการยกเว้นจากขั้นตอนการประเมินและลดความเสี่ยง แต่ยังต้องรวบรวมข้อมูลจำนวนมากในขั้นตอนที่ 1 ของ Due diligence เช่น พิกัดแหล่งผลิตและหลักฐานความถูกต้องของการใช้ที่ดิน ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องพัฒนาระบบเก็บข้อมูลและตรวจสอบย้อนกลับให้พร้อมส่งต่อให้ผู้นำเข้า
ปัจจุบัน มีบางรายเริ่มปรับตัวแล้ว เช่น โครงการ "ยางมีพิกัด" ของกลุ่มศรีตรัง ที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มายางพาราได้ 100% ภาครัฐเองก็มีความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมรองรับ EUDR หลายด้าน เช่น การจัดทำแผนที่เกษตรกรรมและพื้นที่ป่าไม้ที่สอดคล้องกับข้อกำหนดของ EU การเชื่อมโยงข้อมูลพิกัดทางภูมิศาสตร์ของเกษตรกรกับระบบของเอกชน ซึ่งต้องเร่งให้แล้วเสร็จก่อนการบังคับใช้กฎหมายในปลายปีนี้
อย่างไรก็ดี ในระยะยาว ภาครัฐควรเร่งยกระดับศักยภาพสินค้า EUDR ที่ไทยยังผลิตได้น้อย เช่น กาแฟ และโกโก้ ซึ่งเป็นสินค้าที่ตลาดโลกต้องการและมีมูลค่าสูง ผ่านการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเชื่อมโยงเกษตรกรกับตลาดโลก พร้อมทั้งต้องติดตามสถานะความเสี่ยงของไทยในระบบของ EU อย่างใกล้ชิด และดำเนินมาตรการอนุรักษ์ป่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสถานะ "ประเทศเสี่ยงต่ำ" ไว้ให้ได้ในระยะยาว โดย EU มีกำหนดทบทวนระดับความเสี่ยงของประเทศต่าง ๆ ครั้งแรกในปี 69
ดังนั้น EUDR จึงไม่ใช่เพียงกฎหมายสิ่งแวดล้อมของยุโรป แต่เป็นจุดเปลี่ยนของระบบการค้าสินค้าเกษตรโลก และเป็น "บททดสอบ" สำคัญว่า ประเทศใดจะสามารถยืนหยัดในห่วงโซ่การค้ายั่งยืนที่มีมาตรฐานสูงขึ้นเรื่อย ๆ ได้ในอนาคต และไทยต้องไม่พลาดโอกาสครั้งนี้