นายวรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด เปิดเผยว่า สินทรัพย์ดิจิทัลถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวสูงต่อปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกระแสเงินทุนและระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนสามารถยอมรับได้ โดยในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะ "Risk On" (นักลงทุนมีความกล้าในการรับความเสี่ยง) ราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลมักปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน หากตลาดอยู่ในภาวะ "Risk Off" (นักลงทุนลดความเสี่ยง) มักจะเกิดแรงเทขายในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งรวมถึงคริปโทเคอร์เรนซีด้วยเช่นกัน
สัญญาณสำคัญจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1. อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate) หากแนวโน้มดอกเบี้ยลดลง จะส่งผลดีต่อตลาดคริปโทฯ เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น ขณะที่ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงจะเป็นปัจจัยกดดันเม็ดเงินลงทุน 2. อัตราเงินเฟ้อ (Inflation) ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ มีเป้าหมายให้อยู่ที่ระดับ 2% หากเงินเฟ้อสูงเกินเป้า จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดคริปโทฯ 3. ภาพรวมเศรษฐกิจ (Economic Outlook) อ้างอิงจากตัวเลข GDP การจ้างงาน และการบริโภคภาคเอกชน หากเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว อาจส่งผลเชิงลบต่อการลงทุนในคริปโทฯ และ 4.นโยบายการเงิน เช่น มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และส่งผลบวกต่อสินทรัพย์ดิจิทัล ในขณะที่ปัจจุบัน สหรัฐฯ ยังคงดำเนินมาตรการตึงตัวเชิงปริมาณ (QT) ซึ่งเป็นการลดสภาพคล่องในตลาด
สำหรับสถานการณ์ล่าสุด มีสัญญาณเชิงบวกหลายประการที่บ่งชี้ว่าตลาดกำลังฟื้นตัวและเริ่มเข้าสู่ภาวะ "Risk On" อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจลดลง การชะลอตัวของเงินเฟ้อ รวมถึงกระแสเงินทุนจากสถาบันการเงินที่เริ่มไหลเข้าสู่สินทรัพย์หลักอย่างBitcoin และ Ethereum อีกทั้งมูลค่าตลาดรวมของคริปโทฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ Altcoin หลายเหรียญจะยังคงมี Upside สูง
ดังนั้น การจัดพอร์ตให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยควรพิจารณาให้คริปโทฯ เป็นเพียง "ส่วนหนึ่ง" ของพอร์ตทั้งหมด เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม แนวทางเบื้องต้นสามารถดำเนินการได้ดังนี้
1.การกำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้ลงทุนประมาณ 5-10% ของพอร์ตทั้งหมด ขณะที่นักลงทุนที่มีประสบการณ์และสามารถรับความเสี่ยงได้สูง อาจขยับสัดส่วนขึ้นเป็น 20-30% ส่วนที่เหลือควรกระจายไปยังสินทรัพย์อื่น เช่น พันธบัตร หุ้น ทองคำ หรือเงินสด
2.การจัดสรรพอร์ตคริปโทฯ อย่างเป็นระบบ โดยสามารถเลือกใช้โมเดลพอร์ตยอดนิยม เช่น
3.การเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน (Optimization) โดยสามารถนำสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Stable Coin หรือ Bitcoin ไปสร้างรายได้ในรูปแบบของ Yield ราว 45% ต่อปี ผ่านแพลตฟอร์มที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้โดยไม่จำเป็นต้องขายเหรียญ
ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนในคริปโทฯ สำหรับระยะยาว (มากกว่า 4 ปี) อาจมีโครงสร้างดังนี้ Bitcoin 50% เพื่อความมั่นคงและสร้าง Yield, Stable Coin 30% ใช้เป็นเงินสำรองหรือนำไปซื้อตอนตลาดปรับฐาน, Large Cap Altcoin 15% เพื่อโอกาสเติบโตตามรอบตลาด และ Small Cap Altcoin 5% แม้มีความเสี่ยงสูง แต่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระดับหลายเท่า ทั้งนี้ พอร์ตการลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความรู้ ประสบการณ์ และระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละรายสามารถรับได้
สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน ดังนั้น การวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจโลก และการจัดสรรพอร์ตอย่างมีวินัย จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพร้อมรับมือกับทุกสภาวะของตลาด โดยก่อนเข้าสู่โลกคริปโทฯ นักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าสภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นเหมาะสมหรือไม่