ทีมวิจัยกรุงศรี หั่นเป้า GDP ไทยปี 68 เหลือโตแค่ 2.1% เผชิญความเสี่ยงซ้อนทั้งใน-ตปท.

ข่าวเศรษฐกิจ Friday May 30, 2025 15:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทีมวิจัยกรุงศรี คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโต 2.1% ชะลอลงจากคาดการณ์เดิมที่ 2.7% แม้ในไตรมาส 1/2568 จะขยายตัวได้ 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งสูงกว่าคาดเล็กน้อย แต่โครงสร้างภายในยังเปราะบาง โดยการส่งออกที่ขยายตัว ได้ถึง 15% ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งส่งออก (front-loading) ก่อนมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งชี้ว่าแรงส่ง จากภาคต่างประเทศอาจไม่ยั่งยืน ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอตัว และการลงทุนภาคเอกชนยังหดตัวต่อเนื่องแม้การลงทุนภาค รัฐเติบโตสูง สะท้อนถึงข้อจำกัดด้านอุปสงค์ภายในประเทศและความท้าทายจากปัญหาเชิงโครงสร้าง

นางสาวพิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ และผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องประสบกับความเสี่ยงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้า ของสหรัฐฯ ที่มีฉากทัศน์ที่หลากหลายและมีความไม่แน่นอนสูง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงซ้อนจากความเปราะบางภายในประเทศ ทั้งปัญหาเชิง โครงสร้าง ความไม่แน่นอนของประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจ และความล่าช้าของการฟื้นตัวในภาคท่องเที่ยว ปัจจัยดังกล่าวล้วนเพิ่ม ความเสี่ยงด้านต่ำต่อการเติบโต และอาจเป็นปัญหาที่ฝังลึกลงสู่ระบบเศรษฐกิจไทย

โดยวิจัยกรุงศรีได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 เนื่องจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1) ผลกระทบจากเหตุการณ์ แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2) แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลงเนื่องจากความกังวลของนักท่องเที่ยวจีนต่อ สถานการณ์ด้านความปลอดภัยในการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย และ 3) ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของ สหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเนื่องอย่างเป็นวงจร (Negative feedback loop) ผ่านความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายและ ลงทุน"

ทั้งนี้ แรงส่งหลักของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะมาจากการใช้จ่ายภาครัฐและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผนวกกับการฟื้นตัวของ ภาคท่องเที่ยวที่แม้จะฟื้นช้ากว่าคาด แต่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 35.5 ล้านคน มาอยู่ที่ 36.5 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศยังคงเผชิญความเสี่ยงสูง ตามบริบทของความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า ของสหรัฐฯ ที่ถึงแม้ว่าล่าสุด ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 (ตามเวลาสหรัฐฯ) ศาลการค้าของสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งระงับมาตรการภาษีตอบ โต้ (Reciprocal Tariff) แต่ยังมีความเสี่ยงที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้อำนาจตามกฎหมายอื่นๆ เพื่อเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม เช่น กฎหมายการค้าปี 1974 มาตรา 122 ที่อาจทำให้ประเทศต่างๆ รวมถึงไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราไม่เกิน 15%

จากความไม่แน่นอนดังกล่าว การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังจึงยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบ ซึ่งการคาด การณ์ครั้งนี้ ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ต่อประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่รวมถึงไทย ส่งผลให้การส่งออกทั้งปีคาดว่า จะขยายตัวเพียง 2.0% หลังจากที่เติบโตสูงด้วยอัตราเลขสองหลักในช่วงไตรมาสแรก

ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงที่ 2.6% ท่ามกลางแรงกดดันจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอลง แนว โน้มรายได้ภาคเกษตรที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และการฟื้นตัวช้าของภาค ท่องเที่ยวที่จะกระทบต่อการจ้างงานและรายได้

ในด้านการลงทุน แม้การลงทุนภาครัฐอาจเติบโตถึง 5.8% แต่ยังไม่สามารถเหนี่ยวนำให้การลงทุนภาคเอกชนกลับมาเติบโต (Crowding-in effect) ได้ ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นช้ากระทบต่อการขยายการลงทุนในภาคบริการ เพิ่มความเสี่ยงที่การลง ทุนภาคเอกชนอาจหดตัวต่อเนื่องที่ -0.5% นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยลบที่บั่นทอนความ เชื่อมั่น และทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน

ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภายใต้ความเสี่ยงของการค้าระหว่างประเทศ เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่งปี หลังขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจใช้นโยบายการเงินแบบ ผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกปรับลดลงอีก 1-2 ครั้งในปีนี้

ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายสำคัญหลายประการ ได้แก่ (i) นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ ยังมีความเสี่ยงสูง (ii) ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปราะบาง (iii) ความไม่แน่นอน ของนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านพื้นที่ทางการคลัง และ (iv) ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความสามารถใน การแข่งขันของภาคการผลิตที่ลดลง ระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ นางสาวพิมพ์นารา กล่าวทิ้งท้ายว่า "แม้ปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วโลก แต่เมื่อผนวกกับแรงกดดัน ภายใน อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญผลกระทบที่รุนแรงกว่าหลายประเทศ ดังนั้น จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องอาศัยความระมัดระวังเชิงนโยบาย ควบคู่ไปกับการตอบสนองที่มีประสิทธิภาพและเท่าทันสถานการณ์"

ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568

% เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน              2566       2567        2568F
GDP                             2.0        2.5         2.1
การบริโภคภาคเอกชน                6.9        4.4         2.6
การบริโภคภาครัฐ                  -4.7        2.5         1.5
การลงทุนภาคเอกชน                 3.1       -1.6        -0.5
การลงทุนภาครัฐ                   -4.2        4.8         5.8
มูลค่าส่งออก (สกุลดอลลาร์)          -1.5        5.8         2.0
มูลค่านำเข้า (สกุลดอลลาร์)          -3.8        6.3         2.2
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ล้านคน)   28.2       35.5        36.5
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป                  1.2        0.4         0.6

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ