กกร.หั่นเป้า GDP ปี 68 เหลือโต 1.5-2.0% ตามแรงส่งศก.แผ่ว คาดส่งออก -0.5 ถึง 0.3%

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday June 4, 2025 13:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

กกร.หั่นเป้า GDP ปี 68 เหลือโต 1.5-2.0% ตามแรงส่งศก.แผ่ว คาดส่งออก -0.5 ถึง 0.3%

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ โดยคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 1.5-2.0% ตามการส่งออกสินค้า และการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง

โดย กกร.ปรับลดประมาณการส่งออกไทยปีนี้ ลงเหลือ -0.5-0.3% จากเดิมคาดโต 0.3-0.9% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั้งปี ยังคงไว้เดิมที่ 0.5-1.0%

ที่ประชุม กกร. เห็นว่า การที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ที่ 2.0% จำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 70% ของวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ ยังต้องเร่งขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีขยายตัวราว 17.0% เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลง และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี แม้คาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวใกล้เคียง 3.0% แต่ครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่จะขยายตัวไม่ถึง 1%โดยขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐฯ และไทย เทียบกับประเทศคู่แข่ง ตลอดจนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อธุรกิจและการจ้างงาน

ประธานที่ประชุม กกร. กล่าวว่า มาตรการภาครัฐที่ปัจจุบันเป็นมาตรการระยะสั้น จึงควรมองต่อเนื่อง ทั้งมาตรการระยะกลาง และระยะยาวเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง อีกทั้งควรมีความยืดหยุ่น และสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก ตลอดจนป้องกันการไหลบ่าของสินค้านำเข้าผ่านการควบคุมมาตรฐานและตรวจสอบสินค้าผ่านด่านอย่างเข้มงวด

รวมทั้งป้องกันการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออก และสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก ตลอดจนป้องกันการไหลบ่าของสินค้านำเข้าผ่านการควบคุมมาตรฐาน และตรวจสอบสินค้าผ่านด่านอย่างเข้มงวด รวมทั้งป้องกันการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออก

"ที่ประชุม กกร. มีความกังวลประเด็นการสวมสิทธิ์การส่งออก และการ re-export โดยใช้ local content ต่ำ ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้สูง แต่ก็มีการนำเข้าที่สูง ขณะที่ภาคการผลิต การบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชน ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังขาดการเชื่อมโยงด้านการนำเข้ากับส่งออก ที่ทำให้เข้าใจภาพเศรษฐกิจในเชิงลึก เพื่อให้สามารถติดตามและแก้ปัญหา re-export ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น" นายผยง ระบุ

พร้อมกันนี้ ยังมองว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง และมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาทางกฎหมาย นอกจากนี้ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษี sectoral tariff เหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน, สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป มีส่วนช่วยลดความตึงเครียดของสงครามการค้าในระดับหนึ่ง แต่เริ่มมีปัจจัยเกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์เข้ามาเพิ่มเติมทำให้การเจรจายากขึ้นเพราะมีหลายมิติ

นายผยง กล่าวว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนี้เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังสูง เพราะอาจเกิดผลกระทบยาวและลึก จึงต้องมีการวางมาตรการป้องกันที่จะประคับประคองธุรกิจผ่านพ้นช่วงผันผวนไปให้ได้ การจัดสรรทรัพยากรจึงต้องให้เกิดความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสถาบันการเงินแต่ละแห่งจะมีข้อมูลจำเพาะที่ตอบโจทย์ลูกค้าตัวเองที่ต่างกันและต้องทบทวนสถานการณ์ตลอดเวลา ขณะที่กลุ่มลูกค้าเองก็ชะลอการลงทุน หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงการเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ

ว่า เรามีความพร้อมที่จะเจรจา แต่ต้องรอช่วงจังหวะเวลาที่จะนัดหมายให้ตรงกัน ซึ่งเหลือเวลาอีกราว 30 วันก็จะพ้นกรอบเวลาที่ชะลอการบังคับใช้มาตรการภาษี ดังนั้นจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะในภาพรวมก็ยังไม่ตกผลึก มีเพียงสหราชอาณาจักรประเทศเดียว

ส่วนผลกระทบจากสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชานั้นยังไม่ส่งผลในเรื่องการค้า ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง และน่าจะเป็นสถานการณ์ที่รัฐบาลยังสามารถดูแลได้

สำหรับกรณีที่รัฐบาลเตรียมผลักดันเรื่องเอ็นเตอร์เทนเม้นคอมเพล็กซ์นั้น ตนคิดว่าสิ่งที่สังคมกังวลเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อมั่นในการบังคับใช้กฎหมาย เพราะยังมองว่าหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายยังมีความหละหลวม มีช่องโหว่ให้เกิดการทุจริต แต่การลงทุนในเรื่องนี้จะเป็นจุดขายสำคัญที่ใช้รองรับนักท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้น

ส่วนนายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า เรื่องมาตรการภาษีของสหรัฐฯ นั้นเราอาจโชคดีที่มีเวลาในการตั้งหลักมากขึ้น แต่ประเด็นสำคัญต้องดูผลการเจรจาของประเทศคู่แข่ง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียเปรียบในการแข่งขัน และภาครัฐควรเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการเตรียมรับมือเรื่องนี้มากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ