
ภายหลังการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ เมื่อช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา "โดนัล ทรัมป์" ได้จุดไฟสงครามการค้ารอบใหม่ให้กับโลก ด้วยการประกาศนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าต่าง ๆ เพื่อหวังแก้ปัญหาขาดดุลการค้าที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในนั้น คือ ไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ สูงเป็นลำดับที่ 11 ของประเทศที่สหรัฐฯ ทำการค้าด้วย
แม้การปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จะเลื่อนการบังคับใช้ออกไปชั่วคราว 90 วัน จากช่วงต้นเดือนเม.ย.68 ซึ่งจะไปครบกำหนดอีกทีในวันที่ 9 ก.ค.68 นั้น ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์การค้าโลกดูดีขึ้น แต่กลับยิ่งทอดเวลาความไม่แน่นอนให้ยาวนานมากไปอีก
ภาคธุรกิจส่งออกไทยถึงขั้นกุมขมับ ยอมรับว่าความไม่ชัดเจนนี้ ยิ่งสร้างความยากลำบากในการกำหนดราคาสินค้าไปต่างประเทศ ที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคำสั่งซื้อล่วงหน้าก่อนที่จะส่งออกจริง ประกอบกับเงินบาทที่ผันผวนแข็งค่า จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ยิ่งทำให้สินค้าไทย ต้องเผชิญปัญหาการแข่งขันด้านราคากับสินค้าจากประเทศคู่แข่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ปัจจัยเหล่านี้ ถือเป็น "คลื่นลูกใหญ่" ที่ถาโถมเข้ามากระแทกการส่งออกไทยในปีนี้ ชนิดที่เรียกว่าแทบจะหนีรอดได้ยาก เพราะสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย และไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางตรงสูง เนื่องจากพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก และมีความเสี่ยงที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ (Reciprocal tariff) หากการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ ไม่เป็นผล
ความหวังของกระทรวงพาณิชย์ ที่ตั้งเป้าหมายการส่งออกไทยปีนี้ ว่าจะเติบโตได้ราว 2-3% อาจไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด
- ยอดส่งออกเร้าใจ พื้นฐานแข็งแกร่ง หรือแค่เร่งเครื่องหนีตาย
หันมาดูสถานการณ์ส่งออกของไทย ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 จะเห็นได้ว่ามูลค่าการส่งออกในแต่ละเดือนยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง และเติบโตในระดับ 2 หลักมาตั้งแต่เดือนม.ค. จนถึงล่าสุดในเดือนเม.ย. โดยเดือนม.ค. มูลค่า 25,277 ล้านดอลลาร์ โต 13.6%, เดือนก.พ. มูลค่า 26,707 ล้านดอลลาร์ โต 14%, เดือนมี.ค. มูลค่า 29,518 ล้านดอลลาร์ โต 17.8% และเดือนเม.ย. มูลค่า 25,625 ล้านดอลลาร์ โต 10.2%
แม้การส่งออกเดือน เม.ย.68 จะขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) แต่เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลง โดยมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัว 10.2% ถือเป็นการเติบโตที่ช้าลง และหากเทียบมูลค่ารายเดือน (MoM) แล้ว จะหดตัว 13.3% หรือติดลบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ม.ค.68 บ่งชี้ถึงการเร่งนำเข้าของประเทศคู่ค้าที่เริ่มจะแผ่วกำลังลง
โดยมีการวิเคราะห์กันว่า สาเหตุที่มูลค่าการส่งออกเติบโตได้ดีในช่วงที่ผ่านมานั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะประเทศผู้นำเข้าเร่งสั่งซื้อสินค้า ก่อนที่มาตรการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ โดยพบว่าการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นจากความต้องการนำเข้า เพื่อลดต้นทุนที่จะเพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษี Reciprocal Tariff รวมทั้งประเทศจีน เร่งนำเข้าสินค้าวัตถุดิบหรือสินค้าขั้นกลางที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต (Supply chain) มาผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ
ขณะที่เจ้ากระทรวง อย่างนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ไม่อยากให้มองในแง่ร้าย ว่าการส่งออกของไทยที่เติบโตได้ดีในช่วง 4 เดือนนี้ เป็นเพราะประเทศคู่ค้าเร่งนำเข้าก่อนมาตรการภาษีสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งคงจะไม่ใช้ทั้งหมดเสียทีเดียว เพราะยังมีความมั่นใจว่าพื้นฐานการส่งออกไทยมีความแข็งแกร่ง อีกทั้งการขยายตลาดส่งออกที่เพิ่มมากขึ้นก็มีส่วนช่วยให้มูลค่าการส่งออกในช่วงที่ผ่านมาเติบโตได้น่าพอใจ
ซึ่งจากต้นทุนที่ทำไว้ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกโตเฉลี่ยแล้วถึง 14% ดังนั้นหากในช่วง 8 เดือนที่เหลือของปี การส่งออกแต่ละเดือนจะไม่เติบโตเลย ก็ยังเชื่อว่าการส่งออกไทยทั้งปี จะสามารถรักษาการเติบโตได้มากกว่า 4% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2-3% ในปีนี้ และการส่งออกจะยังเป็นพระเอกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
- ย้อนสถิติ 5 ปี ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เมื่อโฟกัสเฉพาะไปที่ตลาดสหรัฐฯ พบว่า 4 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.68) การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ขยายตัวได้ 25% รวมมูลค่าราว 20,840 ล้านดอลลาร์ และเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้าสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งจากข้อมูลสถิติการค้าระหว่างประเทศของไทย โดยเว็บ tradereport จากกระทรวงพาณิชย์ ย้อนหลังไป 5 ปี จนถึงปี 63 พบว่าไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้าจากสหรัฐฯ มาโดยตลอด และเป็นการเกินดุลในระดับที่เพิ่มขึ้นแทบทุกปี ดังนี้
- ปี 67 มูลค่าส่งออกไปสหรัฐ 54,956 ล้านดอลลาร์ ไทยเกินดุล 35,432 ล้านดอลลาร์
- ปี 66 มูลค่าส่งออกไปสหรัฐ 48,352 ล้านดอลลาร์ ไทยเกินดุล 29,045 ล้านดอลลาร์
- ปี 65 มูลค่าส่งออกไปสหรัฐ 47,534 ล้านดอลลาร์ ไทยเกินดุล 29,791 ล้านดอลลาร
- ปี 64 มูลค่าส่งออกไปสหรัฐ 41,912 ล้านดอลลาร์ ไทยเกินดุล 26,866 ล้านดอลลาร์
- ปี 63 มูลค่าส่งออกไปสหรัฐ 34,381 ล้านดอลลาร์ ไทยเกินดุล 19,573 ล้านดอลลาร์
"ตอนนี้ เรายังรอผลจากที่รัฐบาลจะไปเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ ซึ่งจะครบกำหนดระยะเวลาผ่อนผัน 90 วัน ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ จึงจะรู้ว่าจะมีมาตรการอะไรเพิ่มเติม นอกเหนือจากภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ซึ่งกรณีนี้ ทำให้ผู้นำเข้าสินค้าในสหรัฐแพนิค กลัวจะต้องรับความเสี่ยงจากราคาสินค้าที่จะต้องสูงขึ้น จึงทำให้ต้องเร่งนำเข้าสินค้าในระยะนี้ จึงส่งผลให้การส่งออกของไทยในช่วงนี้ขยายตัวสูง ขณะเดียวกัน จะเห็นได้ว่าดุลการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ก็เกินดุลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะเป็นความกังวลของผู้นำเข้า จึงทำให้มี order เพิ่มมากขึ้น" แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
อย่างไรก็ดี หากสุดท้ายแล้ว เมื่อครบกำหนดระยะเวลาผ่อนผันในวันที่ 9 ก.ค.68 และสหรัฐฯ ยังยืนยันจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 36% ก็คาดว่าการส่งออกสินค้าจากไทยไปสหรัฐฯ จะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปได้อีกถึงราวเดือน ส.ค. เพราะส่วนใหญ่เป็นคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งจะมีผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าในภาพรวมของไทยยังขยายตัวเป็นบวกได้จนถึงไตรมาส 3 แต่การขยายตัวคงจะไม่สูงในระดับ 2 หลักแล้ว
ส่วนในไตรมาส 4 ก็เชื่อว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในภาพรวมคงจะลดลง แต่ทั้งนี้ก็ต้องเทียบเคียงกับประเทศอื่นที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ด้วย เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินเดีย ในสินค้าประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกับไทย ว่าโดนปรับขึ้นภาษีสูงกว่าไทยหรือไม่
"ถ้าประเทศคู่แข่งโดนเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงกว่าไทย จุดนี้ก็อาจเป็นข้อดี ที่ทำให้สหรัฐฯ จะหันมานำเข้าสินค้าในประเภทเดียวกันจากไทยมากขึ้นแน่นอน ซึ่งจะทำให้ไทยได้ประโยชน์ในส่วนนี้" แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุ
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ภาคอุตสาหกรรมการผลิตในไทยที่ดูเหมือนไม่เติบโต (ไตรมาส 1 ขยายตัว 0.6%) แสดงว่าแทบจะไม่มีการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในประเทศเพิ่มขึ้น แล้วไทยเอาสินค้าจากไหนไปส่งออก อีกทั้งยังตั้งสมมติฐานว่า อาจมาจากสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในไทย แต่มาสวมสิทธิส่งออกจากไทย จึงดันยอดส่งออกไทยให้พุ่งแรงตั้งแต่ช่วงต้นปีมานั้น
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า หากพิจารณาจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมในสินค้าที่ไทยส่งออก 10 อันดับ จะพบว่าไทยผลิตได้เพิ่มขึ้นทุกหมวด ทั้งอิเล็กทรอนิกส์, ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ, แผงวงจรไฟฟ้า, เคมีภัณฑ์, เม็ดพลาสติก ขณะที่ดัชนีสินค้าคงคลังก็ยังเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งการที่สินค้าในสต็อกยังมีสูง นั่นหมายถึงผู้ผลิตมีความมั่นใจว่าในอนาคตจะยังขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง ยังเห็นโอกาสที่จะส่งออกได้ และทำให้มีความมั่นใจในการผลิต ดังนั้น เชื่อว่าคงไม่มีใครสต็อกสินค้าคงคลังไว้มาก หากไม่มีความมั่นใจว่าจะขายได้
"การจะมองว่าอุตสาหกรรมการผลิตของไทยไม่โตเลย หรือหดตัว คงไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะที่หดตัวมาจากการลดลงของอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นหลัก ซึ่งรถยนต์มีสัดส่วนสูงในภาคการผลิตอุตสาหกรรม ดังนั้นเมื่อการผลิตรถยนต์หดตัว ซึ่งส่วนหนึ่ง เป็นผลจากการเข้ามาแข่งขันของยานยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ในขณะที่การผลิตรถยนต์ของไทยยังเป็นแบบสันดาป จึงทำให้มีผลกระทบต่อภาพรวมของทั้งอุตสาหกรรม ซึ่งหากมองลงไปในรายสินค้าจะพบว่าสินค้าอื่นไม่ได้หดตัว" แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุ
นอกจากนี้ การที่ไทยได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ สูง แต่กลับขาดดุลจากจีนมากนั้น เป็นเพราะไทยนำเข้าวัตถุดิบจากจีนมาผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐ ซึ่งไม่ได้เป็นการนำเข้ามาแบบเลี่ยงภาษี แต่เป็นการนำเข้ามาตามปกติ คือ นำเข้ามาเพื่อผลิตแปรรูปเป็นสินค้าส่งออก ดังนั้นการที่ไทยขาดดุลจากจีนมาก จึงอาจทำให้มีการไปตีความผิดได้ว่าถูกจีนเข้ามาสวมสิทธิสินค้าไทยแล้วส่งออกไปสหรัฐฯ
กระทรวงพาณิชย์ ยังคงมองว่า แนวโน้มการส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังเผชิญความท้าทายที่สำคัญจากมาตรการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐที่มีต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ของนานาประเทศที่สร้างความวิตกกังวลต่อภาพรวมการค้าโลก และนำไปสู่การชะลอตัวทั้งด้านการค้าและการลงทุน
จากนี้ไปคงต้องจับตาดูว่า ผลสุดท้ายแล้วการเจรจาภาษีระหว่างไทย-สหรัฐฯ ตามแนวทางที่ฝ่ายไทยนำเสนอนั้น จะนำไปสู่ข้อตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน จนทำให้สหรัฐฯ พึงพอใจและยินยอมปรับลดภาษีให้แก่ไทยลงได้หรือไม่ แต่หากไม่เป็นตามที่หวัง ส่งออกไทย คง "ก่ายหน้าผาก" กันไปอีกยาว