หนี้ครัวเรือน Q4/67 อยู่ที่ 88.4% ชะลอตัวต่อเนื่อง อัตราว่างงาน Q1/68 อยู่ที่ 0.88%

ข่าวเศรษฐกิจ Monday June 9, 2025 13:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

หนี้ครัวเรือน Q4/67 อยู่ที่ 88.4% ชะลอตัวต่อเนื่อง อัตราว่างงาน Q1/68 อยู่ที่ 0.88%

สภาพัฒน์ เผย หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 88.4% ของ GDP ชะลอลงต่อเนื่อง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนลดลง ด้านสถานการณ์แรงงานไตรมาส 1/68 อัตราการว่างงาน อยู่ที่ 0.88% ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ด้านการจ้างงานภาคเกษตรลดลงต่อเนื่อง ส่วนนอกภาคเกษตรขยายตัวได้เล็กน้อย


  • หนี้สินครัวเรือน ไตรมาส 4/67 โตชะลอต่อเนื่อง

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยภาวะสังคมไทยในไตรมาส 1/68 ว่า หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 4/67 มีมูลค่า 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ 88.4% จาก 88.9% ของไตรมาสก่อนหน้า

หนี้ครัวเรือน Q4/67 อยู่ที่ 88.4% ชะลอตัวต่อเนื่อง อัตราว่างงาน Q1/68 อยู่ที่ 0.88%

ด้านคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลง โดยมูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ Non-Performing Loan : NPLs) ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีจำนวน 1.22 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.94% เพิ่มขึ้นจาก 8.78% ของไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 30-90 วัน (หนี้จัดชั้นกล่าวถึงพิเศษ Special Mention Loan : SMLs) มีมูลค่า 5.68 แสนล้านบาท ลดลง 6.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

"ไตรมาส 4/67 หนี้สินครัวเรือน ขยายตัวชะลอต่อเนื่อง 4-5 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว ส่วนการขยายตัวของหนี้รายวัตถุประสงค์ พบว่า หนี้ยานยนต์ และธุรกิจปรับตัวลดลง แต่หนี้สินเชื่อส่วนบุคคลยังมีการขยายตัว แม้จะชะลอลง 3.9% เรื่อง NPLs ในระบบธนาคารพาณิชย์ อยู่ที่ 3.26% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่อยู่อาศัย เช่าซื้อรถยนต์ และหนี้สินเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งยังอยู่ในระดับสูง" นายดนุชา กล่าว

นอกจากนี้ มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่

1. คนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคแบบติดหรู ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้เกินตัวได้ง่าย จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า คนไทย 1 ใน 3 นิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรู (Luxury) และบริการระดับพรีเมียม ทำให้มีแนวโน้มเข้าสู่วงจรหนี้ง่ายขึ้น

2. การผลักดันให้สหกรณ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครดิตบูโร ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้ประชาชนสามารถหลุดจากปัญหาหนี้สิน รวมถึงเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อที่เป็นธรรม

"เรื่องของ NPLs เป็นเรื่องสำคัญที่มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง มุ่งเป้าไม่ให้ SMLs เทิร์นไปเป็น NPLs ซึ่งอาจต้องมีการปรับปรุงเงื่อนไขเพิ่มเติมให้ผู้ที่เริ่มมีปัญหา ส่วนแนวโน้มในอนาคตจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ อยู่ที่สภาพเศรษฐกิจ และรายได้ ถ้าสามารถเข้าไปช่วยเรื่องการลงทุน และกระจายเม็ดเงินในระบบ จะทำให้หลายส่วนมีรายได้เพิ่มขึ้น และลดปัญหานี้ไปได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ในส่วนของผู้ที่เป็นหนี้ แต่มีวินัยการส่งหนี้มาตลอด แต่อาจมีปัญหาเล็กน้อย อาจต้องดูว่าจะช่วยอย่างไรเพื่อไม่ให้เป็น SMLs" นายดนุชา กล่าว

  • อัตราการว่างงาน ไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 0.88%

สถานการณ์แรงงานไตรมาส 1/68 ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.4 ล้านคน ลดลงจากไตรมาส 1/67 ที่ 0.5% จากการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ลดลงอย่างต่อเนื่องที่ 3.1% แต่นอกภาคเกษตรกรรม ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยที่ 0.5% โดยเฉพาะสาขาโรงแรม/ภัตตาคาร ยังคงขยายตัวได้ที่ 3.5% แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเริ่มลดลง เช่นเดียวกับสาขาการขนส่ง/เก็บสินค้า ที่ขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.5% ขณะที่การจ้างงานในสาขาการผลิต เริ่มหดตัวลงเล็กน้อยที่ 0.4%

นอกจากนี้ ในภาพรวมชั่วโมงการทำงานของแรงงานลดลง อยู่ที่ 40.8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยภาคเอกชน อยู่ที่ 44.0 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับผู้ทำงานล่วงเวลาลดลง 5.0% ขณะที่ผู้ทำงานต่ำระดับลดลง 7.9% อัตราการว่างงานลดลง มาอยู่ที่ 0.88% จากไตรมาส 1/67 ซึ่งอยู่ที่ 1.01%

โดยไตรมาส 1/68 มีผู้ว่างงานประมาณ 3.6 แสนคน ลดลงในกลุ่มที่จบการศึกษาระดับมัธยมปลายหรือต่ำกว่า เช่นเดียวกับผู้ว่างงานระยะยาว ที่ลดลง 14.3% หรือมีจำนวน 6.8 หมื่นคน โดยกลุ่มผู้ว่างงาน ที่ไม่เคยทำงานมาก่อนกว่า 74.3% ว่างงานเพราะหางานไม่ได้ ทั้งนี้ ผู้เสมือนว่างงานมีจำนวนกว่า 4.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 14.6%

"ผู้เสมือนว่างงานสูงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากภาคเกษตร 1.5 ล้านคน จากการรอฤดูกาลเพาะปลูกเพิ่มเติม และภาคบริการ 2 ล้านคน ภาคการผลิต 8.2 แสนคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฟรีแลนซ์ ส่วน SMEs ว่างงานสูงขึ้น จากการปิดตัวธุรกิจที่มากขึ้น แนวโน้ม SME ในระยะข้างหน้ายังไม่แน่นอน ซึ่งธนาคาร SFI ของรัฐก็มีมาตรการช่วยสภาพคล่องเพื่อพยุงกิจการเอาไว้ และเชื่อว่าจะมีมาตรการช่วย SMEs เกี่ยวกับภาคส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ ซึ่งส่วนนี้ ก็น่าจะช่วยให้สามารถดำเนินกิจการได้โดยไม่ต้องปลดคนงาน" เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าว


สำหรับประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ ได้แก่

1. การประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ SMEs โดยรายงานของธนาคารโลก ระบุว่า ธุรกิจในไทยมีการใช้นวัตกรรมในกิจกรรมต่าง ๆ ในสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ และอาจเป็นสาเหตุให้ปิดกิจการ จึงควรมีการส่งเสริมให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อเพิ่มโอกาสในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้

2. การสร้างหลักประกันกรณีถูกเลิกจ้างให้แก่แรงงาน โดย พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานให้แก่ลูกจ้าง เมื่อมีการเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิด แต่ที่ผ่านมามีลูกจ้างไม่ได้รับการจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานประกอบการจากต่างประเทศ จึงควรมีการศึกษาและกำหนดมาตรการที่ชัดเจน เพื่อให้ลูกจ้างได้รับการชดเชยอย่างที่ควรจะเป็น

3. เด็กจบใหม่อาจเสี่ยงต่อการตกงาน ซึ่งผลสำรวจพบว่า ผู้บริหารกว่า 89% มีแนวโน้มที่จะเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ เพราะมองว่าขาดประสบการณ์ ทักษะ และมีมารยาททางธุรกิจที่ไม่ดีนัก และเลือกที่จะหันไปจ้างฟรีแลนซ์ หรือพนักงานที่เกษียณไปแล้วทดแทน หรือปล่อยให้ตำแหน่งว่าง ดังนั้น เด็กจบใหม่จึงควรเตรียมความพร้อมของตนเอง ทั้งด้านทักษะ และทัศนคติ ขณะที่ภาคการศึกษาต้องเร่งปรับรูปแบบการเรียนการสอน



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ