รัฐบาล มอบนโยบายทูตไทยทั่วโลก ดันการทูตเชิงรุก-เร่งดึงลงทุน-เจาะตลาดใหม่ ขับเคลื่อนศก.ไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Monday June 9, 2025 14:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

รัฐบาล มอบนโยบายทูตไทยทั่วโลก ดันการทูตเชิงรุก-เร่งดึงลงทุน-เจาะตลาดใหม่ ขับเคลื่อนศก.ไทย

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกถึงแนวทางการยกระดับศักยภาพของประเทศผ่านการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยได้เน้นย้ำถึงการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ คมนาคม การศึกษา สาธารณสุข และพลังงาน การส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมฐานข้อมูล การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจและการค้า และการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อกระตุ้นการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน

นายพิชัย ยังย้ำว่า รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตที่ครอบคลุม โดยการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น รายได้ที่สูงขึ้น และการบริโภคภายในประเทศ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว

ทั้งนี้ ภายหลังจบการบรรยาย คณะทูตได้รับมอบหมายพันธกิจเชิงยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของไทย ทั้งการเชิญชวนนักลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมาย การค้นหาโอกาสทางการค้าและการลงทุนในตลาดใหม่ ๆ และการเสนอแนวทางและความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาของไทย โดยเรียนรู้จากต้นแบบต่างประเทศ

สำหรับการประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงนโยบายการต่างประเทศ เข้ากับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระดับนานาชาติ และเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน


นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญที่โลกอยู่ในจุดเปลี่ยน (Turning point) ที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงสร้างอำนาจและระเบียบโลก แบบหลายขั้วอำนาจ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ อาจเห็นความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจเดิมกับมหาอำนาจใหม่ ๆ ท้าทายโลกกลับสู่ภาวะไร้เสถียรภาพ ประเทศต่าง ๆ ต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ภาวะนี้มักนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เกิดความขัดแย้งทางทหารในวงกว้าง

ดังนั้น ขอให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ร่วมกันมองและประเมินผลกระทบในภาพใหญ่ และระยะยาวให้กว้างกว่าการรับมือกับมาตรการตอบโต้ทางภาษีในปัจจุบัน และร่วมกันปรับเป้าหมายและกลยุทธ์ การดำเนินนโยบายต่างประเทศให้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับบริบทโลกปัจจุบัน เพื่อขับเคลื่อนการต่างประเทศ นำพาประเทศไทยไปอยู่ในตำแหน่งจุดยืนที่จะสามารถแสวงหาประโยชน์สูงสุด ภายใต้การเมืองโลกปัจจุบัน และอนาคต เพื่อรักษา-ผลักดันผลประโยชน์ของไทยให้ตอบโจทย์

นายมาริษ ยังย้ำหลักการการดำเนินนโยบายต่างประเทศไทย ที่รัฐบาลใช้เป็นแนวทางการขับเคลื่อนการต่างประเทศในปัจจุบัน อาทิ การรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ (strategic balance) กับมหาอำนาจหลัก และการเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับมหาอำนาจรอง เพื่อกระจายความเสี่ยง (multiple alignment) รักษาจุดแข็งของไทยที่ไม่เลือกข้าง อยู่บนพื้นฐานของการปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์แห่งชาติอย่างยืดหยุ่น ยึดผลประโยชน์แห่งชาติและประชาชนเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมในการกำหนดระเบียบโลกใหม่ในประเด็นต่าง ๆ และของกลุ่มต่าง ๆ เช่น OECD และ BRICS เพื่อเป็นผู้เชื่อมกลุ่มและขั้วอำนาจต่าง ๆ และเป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพ (peace promoter) และผู้ปกป้องกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นจุดเปราะบางต่าง ๆ โดยในช่วงที่ผ่านมา บทบาทของไทยต่อสถานการณ์ในเมียนมา และการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากประเทศต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถคงบทบาทที่สร้างสรรค์ในประเด็นความมั่นคงทางอาหารและความมั่นคงทางสุขภาพ จากจุดแข็งของไทยด้านการเกษตรและสาธารณสุขด้วย

นายมาริษ ยังเน้นย้ำถึงการใช้นโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ผ่านการเร่งส่งเสริมเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ หรือ GDP growth engines ที่เป็นสินค้าในอุตสาหกรรมใหม่ (S Curve) และเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ให้มีปริมาณการผลิต เพื่อใช้ในประเทศ นำเข้า และส่งออกมากขึ้น อาทิ Semiconductor, AI, EV, Data Center, Robotic เป็นต้น

โดยรัฐบาลเน้นดำเนินการผ่านการดึงดูดการลงทุนใน 7 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, แบตเตอรี่ไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้า ฐานชีวภาพ (BCG) ดิจิทัลและสร้างสรรค์ และศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ที่ต้องเร่งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างศูนย์กลางการบิน Landbridge, Financial Hub และกฎกติกาทางเศรษฐกิจในบริบทโลกใหม่ อย่าง FTA OECD ระเบียบ AI รวมทั้งยังต้องรักษาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจเดิมตั้งแต่การท่องเที่ยว การส่งออกสินค้าเกษตร ตลอดจนสินค้าหลักตัวอื่น ๆ เช่น รถสันดาป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี ควบคู่ไปกับการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างทั่วถึง

นายมาริษ ยังคาดหวังว่า ผลลัพธ์ของการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ครั้งนี้ จะสามารถขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศ ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เป็นการทูตต้องจับต้องได้ ทำให้ประชาชนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ